วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปลานวลจันทร์ทะเลแปรรูป-ภายในประเทศ

        จากบทความที่แล้ว ปลานวลจันทร์ทะเลแปรรูป-ในต่างประเทศ จะเห็นได้ว่า ต่างประเทศ นั้น รัปประทานกันอย่างแพร่หลาย และถือว่าเป็นปลาที่มีมูลค่าทางตลาดที่สูงมาก ตัวหนึ่ง ส่วนภายในประเทศที่ผ่านมากรมประมง โดยกองพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ ร่วมกับศูนย์ฯ ประจวบคีรีขันธ์ ได้ส่งเสริมการเลี้ยง การแปรรูป ผ่านวิธีการฝึกอบรมศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านประมงชายฝั่งทุกปี ทั้งเร่งพัฒนากาเทคนิคการเพาะพันธุ์รวมทั้งศึกษาวิจัยให้ปลานวลจันทร์สามารถวางไข่ผสมพันธุ์ได้ตลอดปีอย่างต่อเนื่อง และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรวบรวมลูกปลาที่เกิดเองในธรรมชาติมาส่งให้ศูนย์ฯ เป็นผู้แจกจ่าย จำหน่ายให้เกษตรกรนำไปเลี้ยงอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ จนถึงทุกวันนี้ ก็ได้มี กลุ่มเกษตรกร-กลุ่มแม่บ้าน ในพื้นที่บ้านคลองวาฬ ได้รวมตัวกันในชื่อ "กลุ่มปลาคลองวาฬ" ทำการแปรรูป ปลานวลจันทร์ทะเลที่เกษตรกรเลี้ยงจนโต ให้เป็น สินค้าสำเร็จรูปพร้อมที่จะนำไปปรุงอาหาร นับเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ปลานวลจันทร์ทะเลและเพิ่มรายได้ให้เศษรฐกิจภายในชุมชน อีกทางหนึ่ง












Read More...

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นู๋นวลชวนเที่ยว-เขาล้อมหมวก

       สวัสดีคะ นุ๋นวลมาพาท่านผุ้อ่านเที่ยวกันอีกนะคะ วันนี้จะพาไปเยี่ยมพี่ค่างแว่นคะ   พี่ค่างแว่น จะอยู่กันเป็นฝูง บริเวณเชิงเขาล้อมหมวก ใกล้กับศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวก ซึ่งเวลาท่านผู้อ่านมาสักการะเจ้าพ่อหรือมาเที่ยวแล้วจอดรถตามร่มไม้  พี่ค่างแว่นชอบจะมาอาศัยตามร่มไม้นี้หละคะในช่วงเช้า ถ้าท่านผู้อ่านพบเจอพี่ค่างก็ส่ามารถนำอาหารมาให้ฝูงพี่ค่างแว่นได้ แต่ต้องเตรียมมาเองนะคะ เช่นพวกถั่ว พวกกล้วย ที่เป็นอาหารผลไม้ธรรมชาติ พี่ค่างแว่นนี้ค่อนข้างสุภาพคะ ไม่ยื้อแย่งอาหารจากมือ ไม่เหมือนพี่ลิงที่อยู่เชิงเขาช่องกระจก(ซนมาก)


       ส่วนเขาล้อมหมวกนี้ เป็นภูเขาหินปูน อยู่ที่ยอดแหลมระหว่างอ่าวมะนาว และอ่าวประจวบคีรีขันธ์  บริเวณยอดเขาล้อมหมวกมีพระพุทธบาทจำลอง ตั้งอยู่ และเป็นจุดท่องเที่ยวที่ในปัจจุบันนิยมใช้ ปีนเขา-ชมวิวที่สวยงามของอ่าวประจวบ และอ่าวมะนาว คะ


       ทั้งเขาล้อมหมวกและอ่าวมะนาวปัจจุบันอยู่ในเขตกองบิน 53 กองพลบินที่ 4 ห่างจากตัวเมืองประจวบไปทางใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร   ลักษณะที่ตั้ง เป็นแหลมยื่นออกไปในทะเลด้านตะวันออก   มีอาณาเขต ทิศเหนือเป็นอ่าวประจวบ ด้านทิศใต้เป็นอ่าวมะนาว  และด้านตะวันตกเป็นตัวเมืองประจวบ ฯ (ในอดีตเขาล้อมหมวกเป็นที่หลบภัยของครอบครัวทหารและชาวบ้านในขณะที่ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่อ่าวมะนาว)

       ท่านผู้อ่านสามารถเดินทางจากอ่าวมะนาวเข้ามาในเขตกองบินที่ 53 โดยผ่านจุดตรวจ หรืออีกเส้นทางหนึ่งเดินทางจากอ่าวประจวบคีรีขันธ์ สุดถนนเลียบหาดทางทิศใต้มีถนนไปยังทางเข้าประตูกองบินที่ 53 ขับตามถนนไปทางซ้ายมือมีที่จอดรถบริเวณเชิงเขา (อย่างลืมแวะร้านอาหารในกองบินนะคะ นู๋นวลคอยท่านผู้อ่านอยู่ที่นี่ด้วย)

จบทริปนะคะ มีภาพสวยแล้ว-มีที่เที่ยวแล้ว-มีที่กินแล้ว อ้อทริปหน้า ไปด่านสิงขร กันคะ



 




Read More...

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นู๋นวลชวนเที่ยว-อ่าวประจวบ

นู๋นวลชวนเที่ยว-อ่าวประจวบ(อ่าวเกาะหลัก) 

       สวัสดีคะ นู๋นวลมาพบกับท่านผุ้อ่านอีกครั้งนะคะ วันนี้นู๋นวลนำรุปสวยๆมาฝากและขอพาท่านทั้งหลายไปเที่ยวกันนะคะ ภาพที่เห็นก็เป็นบรรยากาศสวยๆ รวมๆในอ่าวประจวบ(อ่าวเกาะหลัก) อย่างแรกที่ต้องพูดถึงก็คือ วัดเขาช่องกระจก (มุมขวาบน) วัดที่เป็นแหล่งรวมจิตใจของชาวประจวบ ถัดลงมาส่านที่เห็นเป็นแสงไฟทางยาวไปด้านซ้าย ก็คือ หาดหน้าเมือง มีถนนเลียบชายหาด โดยทางเทศบาลได้สร้างเขื่อนคอนกรีตขนานไปกับถนน ความยาวประมาณ 2 กม มีแหล่งกินประเภทร้านอาหารทะเล ร้านข้าวต้มเรียงรายอยู่มากมายหลายร้าน ถ้าจะหาทะเลเผา น้ำจิ้มรสเด็ด ก็ถนนนี้หละคะ หาดหน้าเมือง นี้เป็นหาดทรายขาวและน้ำทะเลใส สามารถนั่งชมบรรยากาศชายทะเลได้ หรือจะไปนั่งพักผ่อนกับนู๋นวลในศาลาใกล้เชิงเขาช่องกระจกก็ได้นะคะ และที่เป็นพระเอกของภาพ คือ วิถีชีวิตของชาวบ้านประจวบ ที่ทำอาชีพประมงตกหมึก กำลังจะนำเรือคู่ชีพออกสู่ท้องทะเล



        อีกนิดนะคะ นู๋นวลติดสาระน่ารู้ มาคะ เกี่ยวกับ ระดับน้ำทะเลปานกลาง (Mean Sea Level) หรือ ร.ท.ก. เป็นค่าการวัด ระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุด (High Tide : HT) และลงต่ำสุด (Low Tide : LT) ของแต่ละวันในช่วงระยะเวลาที่กำหนด แล้วนำค่ามาเฉลี่ยเป็นระดับน้ำทะเลปานกลาง สำหรับระยะเวลาที่ทำการรังวัดโดยทั่วไปจะต้องวัดเป็นเวลา 18.6 ปี ตามวัฏจักรของน้ำ ระดับน้ำทะเลปานกลางของแต่ละบริเวณทั่วโลกอาจจะมีความสูงไม่เท่ากัน ในประเทศไทยใช้เวลาในการวัด 5 ปี โดยเลือกที่ตำบลเกาะหลัก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นที่วัด แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย เพื่อใช้เป็นค่าระดับน้ำทะเลปานกลาง ให้มีค่า 0.000 เมตร ทำการถ่ายโยงมายังหมุด BM-A (ซึ่งถือว่าเป็นหมุดหลักฐานหมุดแรกของประเทศไทย) ซึ่งมีค่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 1.4477 เมตร ประโยชน์ของการวัดระดับน้ำทะเลปานกลาง เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบระดับความสูงต่ำของดิน หรือสิ่งก่อสร้างในงานสำรวจ งานก่อสร้างและงานทั่วไป (wiki) 

       ติดตามกันนะคะว่า ทริปหน้า นู๋นวลจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก เหมือนที่ภาพนี้ได้ ทำให้ผู้อ่าน ได้ดูภาพสวยๆ รู้ที่ไหว้พระ และจะไปฝากท้องกันที่ไหน ในภาพเดียว ....
Read More...

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปลานวลจันทร์ทะเลแปรรูป-ในต่างประเทศ

ปลานวลจันทร์ทะเลแปรรูป-ในต่างประเทศ 

       ที่ประเทศไต้หวันซึ่งเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลหลังประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศฟิลิปปินส์เองก็จัดว่าปลานวลจันทร์ทะเลเป็นปลาประจำชาติของเขาเลยทีเดียว แต่ถ้าเรื่องการเลี้ยง และการกินแล้วต้องยอมรับว่าไต้หวันพัฒนาไปเร็วมากมีโรงเพาะพันธุ์และบ่อเลี้ยงจำนวนมาก ที่ผ่านมามีโอกาสไปดูงานที่ไต้หวัน ก็พบว่าไต้หวันมีฝีมือการแปรรูปพร้อมเพิ่มมูลค่า ปลานวลจันทร์ทะเลได้เยี่ยมยุทธมากเทียบกับฟิลิปปินส์ที่เป็นต้นตำรับ แต่พัฒนาผลผลิตปลานวลจันทร์ไปเป็นปลาไร้ก้าง ปลายัดไส้ ปลาก้างนิ่มและทำเป็นปลากระป๋อง เท่านั้น ที่จังหวัดเกาสงของไต้หวัน เราไปเดินตลาดยามค่ำคืน ตามร้านข้าวต้มและอาหารตามสั่งแทบทุกร้านจะมีผนังท้องหรือพุงปลานวลจันทร์ (Belly) วางขายอยู่ดาษดื่นทั่วไป (commodity) และเป็นที่นิยมบริโภคของชาวไต้หวันเสียด้วย เราสั่งซุปหรือเกาเหลาปลานวลจันทร์ทะเลมากินตกชามละ 80 บาท อร่อยมากไม่เจอก้างสักอันเลย




       ส่วนที่ตลาด “หงหลง” ในช่วงสายเมื่อคนบางตาแล้ว เราไปดูเขาแปรรูปปลานวลจันทร์ทะเล โดยการตัดหัว ถลกหนัง แล่เนื้อ และทำลูกชิ้นปลานวลจันทร์ทะเล เห็นแล้วประทับใจมาก ที่เขาช่างมีพรสวรรค์และทำได้เร็วมากแถมยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับปลานวลจันทร์อีกเยอะ หัวเอาไปดูด หนังเอาไปทอด เนื้อติดก้างเอาไปทำลูกชิ้น โดยเฉพาะลูกชิ้นปลานวลจันทร์ทะเลของ เขาอร่อยเหาะจริงๆ อยากได้สูตรมาทำขายที่เมืองไทยมากแต่มีข้อแม้ว่าต้องไปอยู่เป็นลูกจ้างเขาที่นู่นก่อน สำหรับเมือง “ปิงตง” เราอยากจะเรียกว่านี่คือเมืองหลวงด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ของไต้หวันเลยทีเดียว เพราะเขาเพาะเลี้ยงปลาหมอทะเล ปลากุเรา ปลากระบอกและปลานวลจันทร์ทะเลกันเป็นธุรกิจใหญ่โตมาก มีโอกาสไปเยี่ยมโรงเพาะฟักปลาหมอทะเลใช้มีเพียงสอง คนแม่ลูกแต่ได้ผลผลิตลูกปลาหมอทะเลมหาศาลแถมยังสะอาดนน่าทำงานมาก ไปดูการเพาพันธุ์ปลากุเราที่เมืองไทยทำปลาเค็มกันเห็นว่าเขาทำมานานแล้วในบ่อดินผนังคอนกรีต เคล็ดลับ สำคัญที่ทำให้ไต้หวันเป็นมือเพาะอันดับต้นๆ ก็คือการผลิตอาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน นั่นก็คือเจ้า โรติเฟอร์ ที่การเพาะไม่ต้องใช้เทคนิคยุ่งยากซับซ้อน ไม่มีแม้กระทั่งการให้อากาศแต่ได้ผลผลิต มหาศาลกันเลยทีเดียว แบบนี้เรียกว่าตัวจริงเสียงจริง ผู้น้อยขอคารวะ




Read More...

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปลานวลจันทร์ทะเล-07 (สาระน่ารู้ 3)

ปลานวลจันทร์ทะเล-07 (สาระน่ารู้ 3)

4. แนวคิดที่เหมาะสมต่อการลดปุ๋ยและแพลงก์ตอนส่วนเกินในบ่อเลี้ยงกุ้ง

       แนวคิดการใช้ “สาหร่ายทะเล” ชนิดต่างๆ ที่เหมาะสมแต่ละย่านความเค็มของน้ำทะเลที่ใช้เลี้ยงกุ้งทะเลโดยเฉพาะท่านผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง ดร.คมน์ ศิลปาจารย์ ท่านเล่าให้ฟังว่า สาหร่ายทะเลจะทำหน้าที่ดึงปุ๋ย (N, P, K) ส่วนเกินที่เกิดในบ่อเลี้ยงกุ้งแบบพัฒนาทั้งจากสิ่งขับถ่ายกุ้ง เศษอาหาร การตายของแพลงก์ตอนพืชในบ่อ อันจะเป็นเชื้อชนวนให้เกิดการบลูม (Bloom) ของแพลงก์ตอนพืชจำนวนมาก และเมื่อแพลงก์ตอนเหล่านี้มีการตาย สิ่งที่จะตามมาคือการเน่าเสีย เกิดสารก่อภูมิแพ้ คือเจ้าแอมโมเนีย ไนไตรท์ ไนเตรด นี่เอง นี่ละครับตัวการที่ทำให้กุ้งเครียด ไม่กินอาหาร อ่อนแอ ติดเชื้อง่าย และตายในที่สุด นอกจากนี้ผลพลอยได้ที่ตามมาคือสาหร่ายทะเลที่มีซอกหลืบให้แพลงก์ตอนสัตว์ที่กินแพลงก์ตอนพืช ยีสต์ โปรโตซัว แบคทีเรีย เช่น โรติเฟอร์ โคพีพอด แมลงน้ำชนิดต่างๆ ได้อาศัยหลบซ่อนตัวยืดเวลาการถูกกุ้งจับกินออกไป ขณะเดียวกันก็เติบโตผสมพันธุ์สร้างผลผลิตส่วนเกินออกมาเป็นอาหารแก่กุ้งปลาต่อไป

5. ปลานวลจันทร์ทะเลที่ปล่อยในบ่อเมื่อโตแล้วเอาไปทำอะไร

       การเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลแบ่งเป็น ๒ แบบ แบบแรกคือการปล่อยเลี้ยงในบ่อพักน้ำกินอาหารธรรมชาติทีมีอัตราความหนาแน่นต่ำมาก จึงเจริญเติบโตได้เร็วกว่าการเลี้ยงแบบหนาแน่นในบ่อแบบพัฒนาหรือมีขนาด 1,000 - 1,500 กรัม ภายในเวลา 7-8 เดือน แต่ผลผลิตปลาที่ขนาดต่างกันและมีจำนวนไม่มาก รวมทั้งไม่มีความต่อเนื่อง ก็จะไม่มีอำนาจต่อรองทางการตลาด และปลานวลจันทร์นี้หากจะนำมาบริโภคต้องนำไปบั้งให้ถี่ก่อนเคล้าเกลือแล้วนำไปทอด เนื่องจากเป็นปลาที่มีก้างในตัวมาก ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยนิยมบริโภคแม้ว่ารสชาติจะดีเอามากๆ นอกจากนี้อาจนำไปต้มเค็มหวานแบบปลาตะเพียน เคี่ยวให้ก้างนิ่ม หรือเมนูยอดนิยมอีกอย่างคือ แล่เป็นชิ้นปรุงรส ตากแห้งแดดเดียว ก็อร่อยไม่เบา ที่แนะนำแบบนี้คือต้องทำเองนะครับเพราะอย่างที่บอกว่าผลผลิตจำนวนน้อยเมื่อนำไปขายตลาดมักจะไม่มีอำนาจต่อรองครับ


       ส่วนแบบที่สองเป็นการเลี้ยงแบบพัฒนาที่มักปล่อยปลากัน 20,000-40,000 ตัว/ไร่ และใช้เวลาเลี้ยง 8-10 เดือน จึงจะได้ขนาดที่ตลาดต้องการหรือ ขนาดระหว่าง 700-800 กรัม แต่การเลี้ยงแบบพัฒนาก็จะต้องให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปชนิดลอยน้ำ มีการเพิ่มอากาศด้วยใบพัดตีน้ำและการสูบเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จากการศึกษาพบว่าปลานวลจันทร์ที่เลี้ยงน้ำกร่อยหรือน้ำทะเลความเค็มไม่สูงมากนักจะโตเร็วกว่าการเลี้ยงในน้ำความเค็มสูงหรือร่นระยะเวลาลงเหลือ 7-8 เดือน ทีเดียว สำหรับราคาปัจจุบันซื้อขายกันที่ปากบ่อ กิโลกรัมละ 70 บาท เชียวนะครับ ทั้งนี้ต้นทุนอยู่ประมาณ 8-30 บาท/กิโลกรัม ในอนาคตหากมีการพัฒนาการเลี้ยงโดยใช้หญ้าเลี้ยงสัตว์บกที่มีโปรตีนสูงเป็นอาหารเสริมก็อาจช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงลงได้บ้าง ปลาที่ได้ส่วนใหญ่ก็ส่งตลาดกรุงเทพฯ ให้คนไทยเชื้อสายจีนและชาวไต้หวันที่อยู่เมืองไทยได้ซื้อหามาบริโภคกัน


ที่ผ่านมากรมประมง โดยกองพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ ร่วมกับศูนย์ฯ ประจวบคีรีขันธ์ ได้ส่งเสริมการเลี้ยง การแปรรูป เป็นปลานวลจันทร์ถอดก้าง ปลาก้างนิ่มรมควันเพื่อขจัดปัญหาก้างจำนวนมากในเนื้อ ผ่านวิธีการฝึกอบรมศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านประมงชายฝั่งทุกปี ทั้งเร่งพัฒนากาเทคนิคการเพาะพันธุ์รวมทั้งศึกษาวิจัยให้ปลานวลจันทร์สามารถวางไข่ผสมพันธุ์ได้ตลอดปีอย่างต่อเนื่อง และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรวบรวมลูกปลาที่เกิดเองในธรรมชาติมาส่งให้ศูนย์ฯ เป็นผู้แจกจ่าย จำหน่ายให้เกษตรกรนำไปเลี้ยงอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการต่อไป

Read More...

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นู๋นวล ชวนชิม

นู๋นวล ชวนชิม-01

       สวัสดีค่ะ...วันนี้นู๋นวลจะมาแนะนำเมนูอาหารทะเลเด็ดๆ ที่ทุกๆท่านที่มาเยือนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ต้องซิม! นั่นคือปลา นู๋นวลขอแนะนำตัวก่อนนะค่ะ
       นู๋นวล คือปลานวลจันทร์ทะเลหรือปลาดอกไม้ คนละชนิดกับปลาน้ำดอกไม้นะค่ะ เป็นปลาทะเลแท้ๆ แต่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำจืดและน้ำกร่อยได้ สามารถพบ นู๋นวลและเพื่อนๆได้ในทะเลฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่จังหวัดชุมพรขึ้นมาจนถึงจังหวัดตราด..แต่คุณรู้หรือเปล่าว่า ทะเลประจวบฯ คือแหล่งที่พบนู๋นวลเป็นครั้งแรกและพบมากที่สุด จนเป็นที่มาของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ ที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2496 เพื่อค้นคว้าวิจัยเพาะพันธุ์นู๋นวลจนประสบความสำเร็จใน ปีพ.ศ. 2545 สำคัญที่สุดที่นู๋นวลปลื้มปิติเป็นล้นพ้น ที่ในหลวงเสด็จทอดพระเนตรนู๋นวล เมื่อปี 2508 นำนู๋นวลและเพื่อนๆไปปล่อยเลี้ยงที่อ่างเก็บน้ำเขาเต่า อ.หัวหิน เพื่อให้ชาวบ้านแถบนั้นมีแหล่งอาหารโปรตีนสูงราคาถูกและเป็นแหล่งทำประมงเป็นรายได้เสริม



       ปัจจุบันนู๋นวลได้รับเกียรติจัดให้เป็นว่าที่ปลาประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อไปอาจเป็นที่มาของวลีสุดฮิตของสถานที่ท่องเที่ยวเช่น “ใครมาประจวบฯไม่ได้ทานปลานวลจันทร์ทะเล แสดงว่ายังมาไม่ถึง” ก็ได้ ชื่อนู่นวลอาจจะยังไม่คุ้นหู รสชาติยังไม่คุ้นลิ้น เหมือนพี่พง, ลุงเก๋า แต่ขอบอกว่าถ้าท่านได้ลองลิ้มรสแล้วจะต้องติดใจ ด้วยเนื้อหนังของนู่นวลจะนุ่มมันอร่อย สามารถนำมาทำอาหารได้ทุกชนิดและมีคุณค่าทางอาหารเหมือนพี่พง, ลุงเก๋า เป๊ะ!

       ติดตามนู๋นวลนะคะ แล้วนู๋นวลจะนำเมนูและสูตรอาหารต่าง มาให้ผู้อ่านได้ทดลองทำกันที่บ้านท่าน รับรองจะติดใจ ^_^
Read More...

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปลานวลจันทร์ทะเล-06 (สาระน่ารู้ 2)

ปลานวลจันทร์ทะเล-06 (สาระน่ารู้ 2)

2. ปลานวลจันทร์ทะเล สาหร่ายทะเล มีบทบาทอย่างไรในระบบนิเวศบ่อ

       ก่อนอื่นต้องบอกให้ทราบว่าปลานวลจันทร์ทะเลไม่ได้กินแพลงก์ตอนพืชโดยตรง ถึงขนาดที่จะจัดอยู่ในกลุ่ม Filter feeder อย่างที่หลายคนคิด เนื่องจากมันไม่มีเครื่องมือกรองคือซี่เหงือกที่จะกรองกินแพลงก์ตอนพืชเช่นเดียวกับหอยทะเลกลุ่มหอยสองฝา แต่ที่ปลาจะกินได้คือแพลงก์ตอนสัตว์จำพวกไรน้ำ แมลงน้ำและกลุ่มครัสเตเชียนขนาดเล็กหน้าดิน รวมถึงสาหร่ายทะเล พืชน้ำ ซากสารอินทรีย์ที่ล่องลอยและขี้แดด ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นห่วงโซ่อาหารและกระบวนการย่อยสลายในนิเวศของบ่อพักน้ำทั้งสิ้น ดังนั้น ปลานวลจันทร์ทะเล จึงเป็นตัวการเก็บซากสารอินทรีย์ก่อนที่มันจะปลดปล่อยความเป็นพิษออกมานั่นเอง นอกจากนี้มันยังเก็บกินแพลงก์ตอนสัตว์ที่เปรียบเสมือนภาชนะห่อแพลงก์ตอนพืชให้มีขนาดเหมาะสมกับปากของมันและเก็บกินด้วย ในกรณีของสาหร่ายทะเลหากมีอยู่ในบ่อพักน้ำ มันจะทำหน้าที่ดูดซับ ของเสียหรือปุ๋ยที่เกิดจากการย่อยสลาย ขณะเดียวกันสาหร่ายก็ทำหน้าที่เป็นที่กำบังคล้ายปะการังเทียมหรือที่หลบซ่อนแก่แพลงก์ตอนสัตว์ให้รอดตายจากการถูกกุ้ง ปลากินพร้อมเพิ่มจำนวนที่สมดุลย์ตามสภาพอาหารก่อเกิดอาหารเสริมตามธรรมชาติของสัตว์น้ำอีกทางหนึ่งด้วย



        สรุปว่าการปล่อยปลานวลจันทร์ทะเลในบ่อพักน้ำจะเป็นประโยชน์ทางอ้อมในการลดปริมาณสารอินทรีย์ขนาดใหญ่ก่อนที่มันจะกลายเป็นตัวสร้างแกสไข่เน่าในบ่อนั่นเอง ดังนั้นหากจะคุมปริมาณแพลงก์ตอนในบ่อ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดควรใช้สาหร่ายทะเลชนิดที่เหมาะสมต่อสภาพ ความเค็มน้ำในบ่อร่วมด้วย พร้อมกับมีวิธีบริหารจัดการเก็บเกี่ยวออกที่เหมาะสม ซึ่งการเพาะเลี้ยงสาหร่ายในบ่อพักน้ำทำได้ไม่ยาก โดยตอกหลักขึงเชือกแล้วห่อสาหร่ายเป็นพวงแขวนในบ่อดังภาพถ่ายจะดีกว่า ตัวอย่างเช่น บ่อน้ำกร่อยควรเลี้ยงสาหร่ายผมนาง (Gracilaria spp.) ถ้าน้ำเค็มอาจเป็นสาหร่ายเม็ดพริก (Caulerpa lentilifera) หรือ สาหร่ายกลวง (Solieria robusta) เป็นต้น

3. เป็นไปได้ไหมที่จะเลี้ยงปลานวลจันทร์ในบ่อกุ้งทะเล

       เป็นไปได้ แต่มีความยากลำบากมากและไม่เหมาะสมทั้งนี้มีการเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลร่วมกับกุ้งมานานแล้วแต่เป็นลักษณะที่ปล่อยกุ้งเสริมในบ่อปลานวลจันทร์ทะเลมากกว่าคือใช้กุ้งเป็นตัวเก็บเศษอาหารที่พื้นบ่อ นอกจากนี้การคาดหวังผลผลิตสัตว์น้ำทั้งสองอย่างเชิงธุรกิจในเวลาเดียวกันเป็นไปได้ยากมาก ด้วยเหตุผลบางประการ ดังนี้



        3.1 ระยะเวลาการเติบโตจนถึงขนาดตลาด (Cycle for market) ของสัตว์น้ำทั้งสองต่างกันมาก ส่งผลต่อความยุ่งยากในการเก็บเกี่ยวผลผลิตและความคุ้มทุน
         3.2 การเลี้ยงลักษณะผสมผสานในลักษณะเลี้ยงกุ้งเป็นหลักปล่อยปลานวลจันทร์ทะเลเสริมมักไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากปลานวลจันทร์ทะเลสามารถกินกุ้งขนาดเล็กรวมทั้งอาหารกุ้งด้วยอันจะส่งผลต่อการคำนวนอัตรารอด ปริมาณอาหาร (FCR) ความคุ้มทุน


---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์
รวบรวมโดย  ประพัฒน์ กอสวัสดิ์พัฒน์

Read More...

ปลานวลจันทร์ทะเล-05 (สาระน่ารู้ 1)

 ปลานวลจันทร์ทะเล-05 (สาระน่ารู้ 1)     

       ก่อนอื่นเรามารู้จักปลานวลจันทร์ทะเลกันก่อนเพราะมีหลายคนสับสนว่าเป็นชนิดเดียวกันกับปลานวลจันทร์เทศที่อยู่น้ำจืดและนิยมมาทำปลาส้มปลาจ่อมหรือไม่ สำหรับปลานวลจันทร์ทะเลที่เป็นพระเอกวันนี้ มีชื่อท้องถิ่นหลายชื่อได้แก่ ปลาชะลิน ไฮลิ้ง ปลาดอกไม้ ปลาทูน้ำจืด ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ คือ Milk fish ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Chanos chanos (Forskal) เป็นปลาที่อยู่ได้สองน้ำคือน้ำทะเลและน้ำกร่อยแต่สามารถปรับสภาพแล้วนำไปเลี้ยงในน้ำจืดได้ ในธรรมชาติแพร่กระจายแถบชายฝั่งและทะเลแถบอินโดแปซิฟิค ลูกปลาวัยอ่อนอาศัยอยู่ชายฝั่ง ป่าชายเลน เมื่อเติบโตจะอพยพไปสืบพันธุ์ในทะเล กินอาหารหลากหลายชนิดทั้งพืชน้ำ แพลงก์ตอนสัตว์ สาหร่าย สารอินทรีย์ ขี้แดด (Rap-rap) ลูกกุ้ง สัตว์น้ำขนาดเล็กกว่า รวมทั้งอาหารกุ้งทั้งที่หว่านลงไปและอยู่ที่พื้น รู้อย่างนี้แล้วหลายท่านคงลังเลหรือหากจะเลี้ยงร่วมกับกุ้งคงต้องปล่อยกุ้งก่อนหลายวันจนกุ้งได้ขนาดสักนิ้วก้อยนะครับ



       ส่วนปลานวลจันทร์เทศ เป็นปลาน้ำจืดขนานแท้ กลุ่มเดียวกับปลาตะเพียน มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Mrigal ชื่อวิทยาศาสตร์ Cirrhinus cirrhosus (Bloch, 1795) อาศัยตามแม่น้ำ หนอง คลองบึง โดยที่มีพื้นเพถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนเหนือของเอเชียใต้ และเข้าสู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ ปัจจุบันแพร่พันธุ์ในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย เป็นปลากินพืชแต่กินอาหารได้หลากหลายเช่นเดียวกับปลานวลจันทร์ทะเลเช่นกัน แต่ไม่สามารถนำมาเลี้ยงในบ่อน้ำกร่อยหรือน้ำเค็มเช่นปลานวลจันทร์ทะเลได้


1. ข้อเท็จจริงของกระบวนการเน่าเสียในบ่อพักน้ำก่อนที่จะมีปลานวลจันทร์ทะเล

       ก่อนอื่นต้องขอเล่าให้ทราบว่าในบ่อพักน้ำหรือ Reservoir นั้น เริ่มต้นที่สูบน้ำมาพักโดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะสำรองไว้สำหรับกิจกรรมการเปลี่ยนถ่ายน้ำเพื่อการเพาะเลี้ยงนั้น เท็จจริงแล้วมีกระบวนการอะไรเกิดขึ้น หลายท่านอาจไม่ทราบว่าแท้จริงแล้ว ที่ผ่านมาเรากำลังสูบน้ำดีมาทำให้เน่าเสียเกิด Toxic แล้วจึงเอาไปเลี้ยงสัตว์น้ำ อย่างนี้จะประสบผลสำเร็จได้อย่างไรต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อน กระบวนการเน่าเสียในบ่อพักน้ำเกิดจากอะไรและปลานวลจันทร์ไปเก็บของเสียออกได้อย่างไร มีลำดับขั้นตอนกระบวนการและสาเหตุที่สามารถแบ่งแยกไม่มาก ได้แก่

       1.1 ความรุนแรงจากแรงอัดหรือใบพัดของปั๊มพ์น้ำหรือเครื่องสูบ เครื่องดัน โดยเฉพาะจากเครื่องสูบน้ำที่มีแรงดันหรือความเร็วรอบเครื่องสูงเป็นผลให้แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ สาหร่าย ไข่ ตัวอ่อนสัตว์น้ำ เกิดการตายเป็นคราบสารอินทรีย์แขวนลอยในบ่อที่ต่อไปจะเน่าเสียเกิดเป็นสารก่อภูมิแพ้ต่อสัตว์น้ำ (แอมโมเนีย ไนไตรท์ ไนเตรด) หากไม่มีการกำจัดเก็บออก
       1.2 แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ ไข่ และตัวอ่อนของสัตว์น้ำ บางส่วนที่เหลือรอดจากการถูกทำลายโดยเครื่องสูบน้ำเมื่อมาอยู่ในสภาพแวดล้อมจากที่ต่างจากที่เคยอยู่ในคลองหรือทะเลที่มีอากาศ มีกระแสน้ำคลื่นลมพัดพาสารอาหารเข้าหา กลับต้องมาอยู่ในสภาพบ่อพักน้ำที่เป็นสภาพน้ำนิ่ง น้ำร้อน รวมทั้งสารอาหารไม่เพียงพอจึงเกิดการตายขึ้น
       1.3 การตายที่เป็นวัฏจักรของแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในบ่อพักน้ำหลังจากการเพิ่มจำนวนของแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ขึ้นมากแล้วเกิดการตายขึ้นในลักษณะซิกมอยด์ เคิร์บ (Sigmoid curve) หรือกราฟรูปตัวเอสนั่นเอง

       การตายของสิ่งมีชีวิตจากสาเหตุทั้งสามประการนี้สามารถพบเห็นเป็นรูปธรรมในลักษณะของคราบบนผิวน้ำหรือสารแขวนลอยในมวลน้ำ ในช่วงนี้เริ่มมีกระบวนการปล่อยความเป็นพิษจากการเน่าเสียในกลุ่มไนโตรเจนชั้นหนึ่งก่อนแล้ว การตรวจสอบคุณภาพน้ำอาจพบได้ในรูปของโททอลแอมโมเนีย
       ดังนั้นในช่วงนี้หากไม่มีการเก็บหรือกำจัดออกสารอินทรีย์เหล่านี้ ก็จะตกลงสู่ก้นบ่อกลายเป็นอาหารของจุลชีพที่มีอยู่ในธรรมชาติรวมทั้ง สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่ช่วยย่อยสลายสังเกตุ ตามพื้นบ่อที่น้ำใสแสงส่องถึงจะเห็นคราบเป็นแผ่นพื้นเขียวอมเทาซึ่งเมื่อเกิดกระบวนการสังเคร์แสงจะเกิดแกสออกซิเจนที่เป็นผลพลอยได้ผลักดันให้แผ่นคราบสารอินทรีย์เหล่านี้หลุดร่อนลอยอยู่บนผิวน้ำที่เรารู้จักในชื่อของขี้แดด (Rab-rab) นั่นเอง เจ้าตัวนี้แหละหากไม่มีการกำจัดออก จมลงสู่พื้นบ่ออีกครั้งเกิดการเน่าเสียอย่างรุนแรงและผลที่ตามมาคือแกสไข่เน่าหรือแกสไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่เป็นกระบวนการย่อยสลายของแบคทีเรียกลุ่มที่ไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic bacteria) นั่นเอง


---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์
รวบรวมโดย  ประพัฒน์ กอสวัสดิ์พัฒน์


Read More...

ปลานวลจันทร์ทะเล-04 (การเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลในบ่อดิน)

ปลานวลจันทร์ทะเล-04 (การเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลในบ่อดิน)

การเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลในบ่อดิน

Milkfish  (Chanos  chanos  Forskal)  Culture

       การเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลสามารถเลี้ยงได้ทั้งในพื้นที่น้ำเค็ม,  น้ำกร่อยหรือกระทั่งในพื้นที่น้ำจืด  โดยนิยมเลี้ยงกันในบ่อดิน  ปลานวลจันทร์ทะเลจะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในบ่อที่มีสารอินทรีย์สูง มีอาหารธรรมชาติเช่น  ขี้แดดอยู่ปริมาณมากในการเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลนั้นควรมีการเตรียมบ่อโดยการสูบออกจากบ่อเลี้ยงให้แห้งโรยปูนขาวอัตรา  100  กิโลกรัมต่อไร่  ตากบ่อทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 2  สัปดาห์  จากนั้นใส่ปุ๋ยคอก  100 – 200  กิโลกรัมต่อไร่  เอาน้ำเข้าบ่อสูงประมาณ  50  เซนติเมตร  ทิ้งไว้ให้เกิดอาหารธรรมชาติประมาณ  2  สัปดาห์  จากนั้นเติมน้ำเข้าในบ่อให้สูงขึ้นเป็น  100  เซนติเมตร  ในระหว่างการนำน้ำเข้าบ่อควรมีการกรองน้ำด้วยอวนตาถี่  เช่นอวนมุ้งฟ้าหรืออวนตาพริกไท  เพื่อกันศัตรูตามธรรมชาติปะปนเข้ามากับน้ำ  ทำการกั้นคอกในบ่อด้วยอวนตาถี่บริเวณมุมบ่อ เพื่อฝึกอาหารลูกปลาเมื่อบ่อเกิดอาหารธรรมชาติประเภทสาหร่าย,ขี้แดด,สัตว์น้ำขนาดเล็กเช่นไรน้ำแล้ว  จึงเริ่มปล่อยลูกปลาลงอนุบาลในคอกที่ได้เตรียมไว้แล้ว  ลูกปลาที่ปล่อยควรมีขนาดประมาณ  1 – 2   นิ้ว  อัตราการปล่อย  3 – 5  ตัวต่อตารางเมตร  อาหารในช่วงเดือนแรกใช้อาหารปลากินพืชเม็ดเล็ก  (เบอร์  1)  ให้อาหารวันละ  2  มื้อ  อัตรา  3 – 5  เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ให้อาหารวันละ  2  ครั้ง เช้า – บ่าย    โดยการให้อาหารควรเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน  เพื่อให้ปลาจำเวลาและสถานที่ให้อาหารได้  ในช่วงนี้ลูกปลาจะกินอาหารธรรมชาติในบ่อเป็นหลัก  ส่วนอาหารสำเร็จรูปที่ให้ นั้นจะช่วยเสริมให้ลูกปลาได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนเพียงพอ




       เมื่ออนุบาลลูกปลาไปแล้ว  1  เดือน  ทำการเพิ่มระดับน้ำในบ่อขึ้นเป็น  1.5  เมตร  ปล่อยลูกปลาออกจากคอกอนุบาล  เปลี่ยนอาหารเป็นอาหารปลากินพืชเบอร์  2 – 3  ตามความเหมาะสมอัตรา การให้อาหารเปลี่ยนเป็น  3 – 5  เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว  ควรให้อาหารบริเวณเดิม  บางครั้งการให้อาหารลูกปลาให้สังเกตการกินของลูกปลาประกอบการให้ด้วยไม่ควรให้อาหารเหลือในบ่อ  เมื่อลูกปลาอายุประมาณ  2  เดือน  อาหารธรรมชาติในบ่อก็จะหมดลง  ลูกปลาก็จะใช้อาหารสำเร็จรูปเป็นหลัก  การให้อาหารอาจเพิ่มความถี่โดยให้อาหาร 2-3 มื้อ/วันในเวลาและสถานที่เดิมแต่การให้อาหารต้องมีความละเอียดขึ้น  เกษตรกรต้องให้อาหารอย่างช้าๆต่อเนื่องพร้อมสังเกตการณ์กินอาหารของปลาในบ่อเลี้ยง  และหยุดให้อาหารเมื่อปลาอิ่มหรือปลาเริ่มไม่ขึ้นมากินอาหารแล้ว  อัตราการกินของปลาจะต่างกันในแต่ละวันจะขึ้นกับสภาพของอากาศ,  สิ่งแวดล้อม,  ความเตรียดและตัวปลาเอง  เกษตรกรต้องหมั่นสังเกตอาการของปลาโดยละเอียดสม่ำเสมอซึ่งจะทำให้การเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลประสบกับความสำเร็จโดยง่ายระหว่างการเลี้ยงปลานั้นควรมีการตรวจคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอ  หากน้ำในบ่อเลี้ยงมีค่าแอมโมเนียสูงหรือน้ำมีสีเขียวจัด  ก็ควรมีการถ่ายน้ำทิ้งและเติมน้ำใหม่เข้ามาในบ่อ  การเปลี่ยนน้ำในแต่ละครั้งควรเปลี่ยนประมาณ  30 – 50  เปอร์เซ็นต์  และควรเปลี่ยนเมื่อจำเป็นเท่านั้นนอกจากนั้นแล้วควรติดตั้งระบบการให้อากาศในบ่อ  และเดินเครื่องในเวลากลางคืนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในบ่อ  ระบบการให้อากาศ อาจใช้เครื่องตีน้ำแบบใบพัด  เครื่องแอร์เจ๊ต  หรือเครื่องซูเปอร์ชาร์จก็ได้




       เมื่อเลี้ยงปลาไปได้ประมาณ  8  เดือน  ปลาจะมีขนาดเฉลี่ยประมาณ  500 – 600  กรัม  ซึ่งเป็นขนาดที่ตลาดต้องการ  เกษตรกรสามารถจับปลาจำหน่ายได้ในราคาประมาณ 50- 60  บาทต่อกิโลกรัมและจากการที่ปลานวลจันทร์ทะเลเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย  ไม่ค่อยมีโรค  รวมทั้งเป็นปลากินพืชและสามารถกินอาหารได้หลายรูปแบบ  ทำให้ต้นทุนการผลิตไม่สูง  การเลี้ยงปลาก็จะมีกำไรเป็นรายได้แก่ครอบครัวที่ดีอีกทางหนึ่ง






---------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบการอบรมศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านการประมง(ชายฝั่ง)
การเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเล
ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์
รวบรวมโดย  ประพัฒน์ กอสวัสดิ์พัฒน์
Read More...

ปลานวลจันทร์ทะเล-03 (การอนุบาลลูกปลา)

ปลานวลจันทร์ทะเล-03 (การอนุบาลลูกปลา)

การอนุบาลลูกปลานวลจันทร์ทะเลวัยอ่อน

Nursinging  on Milkfish  (Chanos  chanos  Forskal)Larva

       นำไข่ที่สะอาดแล้วไปฟักในถังกลมและถังกรวย  ความจุปริมาตร  300  ลิตร  ให้อากาศเบาๆ  ไข่ปลาใช้เวลาประมาณ  28-30  ชั่วโมงก็จะฟักเป็นตัว  สุ่มนับละคัดแยกลูกปาที่ดีไปอนุบาลในบ่ออนุบาล  ขนาด  2-10  ตัน  ความหนาแน่นลูกปลา  10,000 – 20,000  ตัว/ตัน  ลูกปลาในช่วง  3  วันแรกจะยังไม่กินอาหาร  โดยอาศัยถุงไข่แดงดำรงชีพ  ระหว่างนี้เติมแพลงก์ตอนพืช (ชนิดเตตราเซลมิสและนาโนโคลลอบซีส)  ความหนาแน่น  30,000 – 50,000  เซลล์/มิลลิลิตร  ตั้งแต่วันแรกจากนั้นเริ่มให้แพลงก์ตอนสัตว์ชนิดโรติเฟอร์ในวันที่  2  ก่อนลูกปลาเปิดปากกินอาหาร  ความหนาแน่นโรติเฟอร์เริ่มต้นประมาณ  3 – 5 ตัว/มิลลิลิตร  และเพิ่มปริมาณอาหารตามอายุของลูกปลาจนกระทั่งลูกปลามีอายุประมาณ  15  วันจึงเริ่มให้อาร์ทีเมียแรกฟักอายุ 1 วันอัตราเริ่มต้น  1-3  ตัว/มิลลิลิตรเสริมด้วยอาหารสำเร็จรูปชนิด  NRD  ขนาด  120  ไมครอน  อัตราเริ่มต้นที่  3  กรัมต่อวันโดยแบ่งการให้อาหารเป็น  4  มื้อต่อวัน  ปริมาณอาหารจะเพิ่มตามอายุและอัตรารอดของลูกปลา     จนกระทั่งลูกปลามีอายุ  30  วันมีลักษณะเหมือนตัวเต็มวัยจึงทำการย้ายลูกปลาไปเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ขนาดปริมาตร  10  ตัน  หรือนำไปอนุบาลในกระชังหรือบ่อดินต่อไป  อาหารในช่วงนี้จะเปลี่ยนเป็นอาหารเม็ดสำเร็จรูปเช่น อาหารกบ อาหารกุ้ง


       การจัดการบ่ออนุบาลจะเริ่มเปลี่ยนถ่ายน้ำดูดตะกอนครั้งแรกเมื่อปลามีอายุ  3  วัน  หลังจากนั้นจะทำความสะอาดเช่นนี้ทุกวัน  ทำการตรวจวัดคุณสมบัติน้ำในบ่ออนุบาลทุก  3  วัน  ไม่ใช้ยาและสารเคมีในระหว่างการอนุบาลลูกปลา



ปัญหาในการอนุบาลปลานวลจันทร์ทะเลวัยอ่อน
       ปัญหาของการอนุบาลอนุบาลปลานวลจันทร์ทะเลวัยอ่อน  ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการอาหารที่ไม่พียงพอและมีการปนเปื้อนของแพลงก์ตอนสัตว์อื่นๆในบ่อ  รวมทั้งการจัดการคุณภาพน้ำที่ไม่ดีทำให้มีของเสียในบ่ออนุบาลมาก  มีผลทำให้ลูกปลาตาย  ในระยะเวลา  15 วันแรก  ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถป้องกันได้หากผู้เพาะเลี้ยงมีการจัดการที่ดี  มีความใกล้ชิดติดตามผลการอนบาลลูกปลาอย่างสม่ำเสมอ  อย่างไรก็ตามเมื่อลูกปลามีอายุมากกว่า  30  วันอาจมีอาการช็อคและการควงสว่านของลูกปลาทำให้ลูกปลาอายุ  30 – 40  วันตายเป็นจำนวนมากอีกระยะหนึ่ง  สาเหตุอาจมาจากการขาดวิตามินบางชนิดหรือโรคจากไวรัสบางชนิด  อาจแก้ไขโดยเปลี่ยนอาหารหรือผสมวิตามินที่จำเป็นเพิ่มในอาหารที่ใช้อนุบาล



---------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบการอบรมศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านการประมง(ชายฝั่ง)
การเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเล
ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์
รวบรวมโดย  ประพัฒน์ กอสวัสดิ์พัฒน์
Read More...

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปลานวลจันทร์ทะเล-02 (การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลา)

ปลานวลจันทร์ทะเล-02 (การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลา)

การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเล

        การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเลในช่วงแรกควรเลี้ยงไว้ในบ่อดิน  เลี้ยงด้วยอาหารปลากินพืชวันละ  1  ครั้ง  ให้อาหารจนปลาอิ่มสังเกตได้จากปลาไม่ขึ้นมากินอาหารอีกจึงหยุด  จนกระทั่งปลามีอายุประมาณ  5  ปีขึ้นไปจึงทำการคัดปลาที่มีขนาด  3.5 - 5.0  กิโลกรัม  ย้ายไปขุนเลี้ยงในบ่อซีเมนต์สำหรับใช้ในการเพาะพันธุ์ต่อไป

       ปลาที่คัดมาเป็นพ่อแม่พันธุ์แล้วนั้นนำมาขุนเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ขนาด  150 ตัน  ด้วยอาหารสำเร็จรูป  ปริมาณโปรตีน  45%  โดยให้อาหารประมาณ  0.5 – 1.3%  ของน้ำหนักตัว  วันละ 1  ครั้งในช่วงบ่าย  การให้อาหารควรทยอยให้ช้าๆ  เพื่อให้ปลาได้รับอาหารทั่วถึงและเป็นการสร้างความคุ้นเคยแก่พ่อแม่พันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเลซึ่งจะมีผลทำให้ปลาลดความเครียดลง  สามารถวางไข่และสืบพันธุ์ดีขึ้น  รวมทั้งเป็นการป้องกันอาหารเหลือก้นบ่อได้อีกทางหนึ่ง  อัตราส่วนพ่อแม่
พันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเลในบ่อซีเมนต์เท่ากับ  1:1  แต่ในกรณีที่ปลาวางไข่แล้วไข่ได้รับการผสมไม่ทั่วถึง  อาจเพิ่มจำนวนปลาเพศผู้ลงในบ่อผสมพันธุ์ได้อีก

             
       การจำแนกเพศปลาจากภายนอกของปลานวลจันทร์ทะเลอาจทำได้ยากเนื่องจากทั้งเพศผู้และเพศเมียจะเหมือนกันทั้งสี  รูปร่าง  หัว  ปาก  กระพุ้งแก้ม  ขนาดและน้ำหนัก  ยกเว้นเมื่อปลาเพศเมียสมบูรณ์เพศจะมีท้องที่อูมกว่าเพศผู้เท่านั้น  ลักษณะที่ใช้บอกเพศคือในปลาเพศผู้
จะมีติ่งบอกเพศและมีช่องเปิด  2  รู  ช่องแรกเป็นช่องขับถ่ายของเสีย  ส่วนช่องที่สองซึ่งอยู่ด้านท้ายเป็นช่องปล่อยเซลล์สืบพันธุ์  ส่วนในปลาเพศเมียมีช่องเปิด  3  ช่อง  โดย  2  ช่องแรกเป็นช่องขับถ่ายส่วนช่องที่  3  จึงจะเป็นช่องสืบพันธุ์

การกระตุ้นการสืบพันธุ์และการวางไข่ของปลานวลจันทร์ทะเล
     พ่อแม่พันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเลที่มีความสมบูรณ์เพศแล้วจะผสมพันธุ์วางไข่ตามธรรมชาติในบ่อผสมพันธุ์ประมาณเดือนมีนาคม  แต่หากเป็นบ่อพ่อแม่พันธุ์ซึ่งไม่เคยวางไข่มาก่อนอาจต้องช่วยเร่งความสมบูรณ์เพศในการผสมพันธุ์โดยการฉีดฮอร์โมนชนิด  Puberogen  ความเข้มข้น  100 IU  ต่อน้ำหนักปลา  1  กิโลกรัม  ช่วงเดือนกุมภาพันธุ์   ฉีดฮอร์โมนเดือนละครั้ง ไม่เกิน  2  เดือน  แล้วปล่อยให้ผสมพันธุ์วางไข่ตามธรรมชาติในบ่อ  ในปีต่อมาพ่อแม่พันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเลที่มีความสมบูรณ์เพศแล้วก็จะวางไข่เองโดยไม่จำเป็นต้อง
ใช้ฮอร์โมนแล้ว



การรวบรวมไข่ปลานวลจันทร์ทะเล
       ปลานวลจันทร์ทะเล  มีการผสมพันธุ์ในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนเป็นต้นไป  ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วมีขนาดเฉลี่ย  1.2  มิลลิเมตรไม่ปรากฏหยดน้ำมันภายในไข่ โดยปกติแล้วไข่ดีส่วนใหญ่จะลอยอยู่บริเวณผิวน้ำ  มีสีเหลืองอ่อนกลมเป็นมันวาว  ทำการเก็บรวบรวมไข่ปลาโดย ใช้ท่อแอร์ลิฟท์  ผูกปากท่อด้วยถุงผ้าโอล่อนยาว  1.5 เมตรแทนที่การใช้อวนลากไข่ปลาซึ่งทำให้สามารถเก็บไข่ปลาก่อนที่ไข่จะจมลงสู่พื้นรวมทั้งไม่เป็นการรบกวนพ่อแม่พันธุ์ปลาขณะผสมพันธุ์วางไข่ด้วย  ทำการเก็บรวบรวมไข่ตอนเช้า  เวลาประมาณ  07.00 น.  นำไข่มาล้างให้สะอาด  กรองด้วยผ้ากรองขนาดต่างๆกันเพื่อแยกสิ่งสกปรกออกจากไข่  นำไข่ที่สะอาดแล้วไปฟักในถังลมและถังกรวยความจุปริมาตร  300  ลิตร  ให้อากาศเบาๆ  ไข่ปลาใช่เวลาประมาณ  28-30  ชั่วโมงก็จะฟักเป็นตัว
   

การพัฒนาการของไข่ปลาและตัวอ่อน
       ไข่ปลานวลจันทร์ทะเล  ที่ได้รับการผสมแล้วมีลักษณะกลม ไม่มีหยดน้ำมันภายในเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย  1.2  มิลลิเมตร  มีสีเหลืองอ่อน  ส่วนใหญ่ลอยอยู่บนผิวน้ำ  ส่วนไข่เสียมีลักษณะขุ่นและจมลงสู่ก้นถัง  นอกจากนั้น  ไข่บางส่วนซึ่งไม่ได้รับการผสมจะมีลักษณะโปร่งใส  แต่จะไม่เห็นการพัฒนาการของตัวอ่อนภายในไข่

       ไข่ปลาที่ได้รับการผสมแล้ว  จะมีการพัฒนาการแบ่งเซลล์ตามลำดับจนพร้อมที่จะฟักตัวออกจากไข่ใช้เวลา  28-30  ชั่วโมง  ลูกปลาที่ฟักตัวออกใหม่ๆมีถุงไข่แดงติดตัวขนาดใหญ่  ลูกปลา  มีขนาด 3.5  มิลิเมตร  มีลักษณะลำตัวใส  ตาไม่มีสี  อวัยวะภายในยังไม่พัฒนาเต็มที่จนกระทั่งอายุ  3  วัน  ลูกปลาจะมีพัฒนาการสมบูรณ์  มีจุดตาสีดำขนาดใหญ่เห็นได้ชัด  ลำตัวยังใสเริ่มพัฒนาครีบ  และเปิดปากกินอาหาร  เริ่มปรากฏพฤติกรรมการรวมกลุ่มเข้าหาแสงถุงไข่แดงจะยุบหมด

เมื่อเริ่มกินอาหารจะสังเกตได้จากบริเวณส่วนท้อง  โดยลูกปลาจะกินอาหารทั้งแพลงก์ตอนพืชสีเขียว  เช่น Tetraselmis.  sp. และแพลงก์ตอนสัตว์  เช่น  โรติเฟอร์  จนกระทั่งอายุ  15 วัน  ก็จะสามารถกิน  อาร์ทีเมียร์แรกฟักได้  ช่วงนี้ลูกปลามีลักษณะลำตัวใสอยู่ ส่วนการพัฒนาการจนมีลักษณะเหมือนตัวเต็มวัยใช้เวลาประมาณ  30  วัน


---------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบการอบรมศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านการประมง(ชายฝั่ง)
การเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเล
ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์
รวบรวมโดย  ประพัฒน์ กอสวัสดิ์พัฒน์
Read More...

ปลานวลจันทร์ทะเล-01 (ชีววิทยาและการแพร่กระจาย)

ปลานวลจันทร์ทะเล-01 (ชีววิทยาและการแพร่กระจาย)

ชีววิทยาและการแพร่กระจายของปลานวลจันทร์ทะเล (Chanos  chanos F orskal)

       ปลานวลจันทร์ทะเลจัดเป็นปลาทะเลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เช่น  ฟิลิปปินส์  ไต้หวัน  เนื่องจากเป็นปลาที่มีรสชาติดี  เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ยังเป็นปลาซึ่งเลี้ยงได้ง่าย  มีความต้านทานโรคค่อนข้างสูง  และสามารถอาศัยอยู่ได้ในระดับความเค็มช่วงกว้าง ในการจำแนกทางอนุกรมวิธานนั้นปลานวลจันทร์ทะเลจัดเป็นปลาใน  Phylum  Vertebrata,  Class Teleostri,  Order  Gonorhynchifornes  จัดอยู่ใน  Family Chanidae  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Chanos  chanos  Forskal  มีชื่อสามัญว่า  Milkfish  และมีชื่อไทยว่าปลานวลจันทร์ทะเลหรือปลาดอกไม้


       มีลักษณะทางกายภาพคือ  เป็นปลาที่มีรูปร่างยาวเพรียว  ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย  ค่อนข้างกลม  ตามีเยื่อไขมันคลุมตลอด  เกล็ดมีขนาดถี่  เป็นเกล็ดประเภท  Cycloid  Scale  เรียบไปตามตัว  ครีบหลังและครีบก้นมีเกล็ดติดตามก้านครีบ  มีเส้นข้างลำตัว  (Lateral  line)  เห็นชัดเจน  ครีบหางเว้าลึกแบบส้อม  (Forked  type)  ตัวเต็มวัยมีขนาดลำตัวยาวกว่า 1 เมตร  หนักกว่า  15  กิโลกรัม  ตามปกติอาศัยอยู่ในทะเล  เป็นปลาว่ายน้ำเร็ว  อาศัยบริเวณผิวน้ำ (Pelagic  fish)  มีนิสัยชอบย้ายถิ่นอาศัยเพื่อการหาอาหารและผสมพันธุ์
     
       ในธรรมชาติปลานวลจันทร์ทะเลจะเจริญพันธุ์เมื่อมีอายุประมาณ  5  ปี  ตัวเมียสามารถให้ไข่ได้ครั้งละประมาณ  200,000  ฟองต่อน้ำหนักแม่ปลาหนึ่งกิโลกรัม  พ่อแม่พันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเลจะเริ่มพัฒนาระบบการสืบพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์และจะเริ่มวางไข่จากเดือนมีนาคมถึงเดือนตุลาคม

       การแพร่กระจายของปลานวลจันทร์ทะเลพบในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  มหาสมุทรอินเดีย  อาฟริกา  ออสเตรเลีย  นิวกินี  หมู่เกาะโซโลมอน  หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก  และทางตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก  โดยมีการแพร่กระจายอยู่ในเขตที่มีอุณหภูมิของน้ำสูงกว่า  20  องศาเซลเซียส  โดยเฉพาะในบริเวณที่มีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน  ปลาที่โตเต็มวัยมักพบอาศัยอยู่บริเวณนอกเขตชายฝั่งใกล้หมู่เกาะและไหล่ทวีป
     
       สำหรับในประเทศไทยพบปลานวลจันทร์ทะเลมากในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ชุมพร  เพชรบุรีและบางส่วนของจังหวัดตราด ในประเทศไทยมีการสำรวจพบลูกปลานวลจันทร์ทะเลครั้งแรกบริเวณบ้านคลองวาฬ  อำเภอเมือง  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  หลังจากนั้นได้มีการสำรวจพบว่า
บางส่วนในเขตจังหวัดชุมพร  ลูกปลาที่พบมีรูปร่างเรียวยาวขนาดเข็มเย็บผ้ายาว  1.5-2  เซนติเมตร  ตัวใส  ตากลมโตสีดำ  กินตะไคร่น้ำ  ไรน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร



       การเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลได้มีการเลี้ยงกันมาเป็นเวลานานในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ชุมพร  เพชรบุรี  เป็นต้น  โดยลูกปลาที่เลี้ยง  ได้จากการรวบรวมจากธรรวมชาติ  ในช่วงเดือนเมษายนนิยมเลี้ยงปลาในบ่อดิน  ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ  8  เดือนจะได้ปลาน้ำหนักประมาณ 600  กรัม  ปัจจุบันนอกจากจะเลี้ยงเป็นปลาเนื้อแล้วยังมีการเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลเพื่อทำเหยื่อล่อปลาทูน่าชนิดต่างๆด้วย

       ปัญหาสำคัญของการเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลทีสำคัญคือการขาดแคลนลูกปลา  ส่วนใหญ่ลูกปลานวลจันทร์ทะเลที่ทำการเลี้ยงในปัจจุบันได้มาจากการรวบรวมจากธรรมชาติซึ่งมีปริมาณไม่แน่นอนเนื่องจากปัญหาด้านมลภาวะทางน้ำเริ่มมีมากขึ้นทำให้จำนวนลูกปลาที่ได้จากธรรมชาติ ลดน้อยลง  นอกจากนั้นแม้ว่าจะเป็นปลาที่มีรสชาติดีแต่ก็เป็นปลาที่มีก้างมาก  ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่นิยมรับประทาน  ส่วนในต่างประเทศเช่นในประเทศฟิลิปปินส์นั้นมีกรรมวิธีในการเอาก้างออก  (Debone)  ทำให้เป็นที่บริโภคกันอย่างแพร่หลาย  ซึ่งในปัจจุบันนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ได้ศึกษาวิธีการดังกล่าวจนสามารถเอาก้างออกได้เช่นเดียวกับต่างประเทศแล้ว

       อย่างไรก็ตามปลานวลจันทร์ทะเลเป็นปลากินพืชที่เลี้ยงง่าย  ต้นทุนในการเลี้ยงต่ำ  สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมต่างๆกันไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่เป็นน้ำจืดหรือน้ำเค็มจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเป็นแหล่งโปรตีนราคาถูกสำหรับผู้บริโภค

---------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบการอบรมศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านการประมง(ชายฝั่ง)
การเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเล
ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์
รวบรวมโดย  ประพัฒน์ กอสวัสดิ์พัฒน์


Read More...

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พระราชดำรัส-ปลานวลจันทร์

พระราชดำรัส-ปลานวลจันทร์


พระราชดำรัส
พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล
ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯ
วันอังคารที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔

       ขอขอบใจท่านทั้งหลาย ที่ได้มาให้พรในวันนี้ โดยผ่านคำของนายกรัฐมนตรี ผู้ได้สรุปโดยสังเขป งานการที่ได้ทำมาเป็นเวลาเกิน ๕๐ ปี ซึ่งเป็นการสรุปที่กะทัดรัด ตั้งใจจะลงมา ก็อยากจะเล่าให้ฟังว่า โครงการบางอย่างก็เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ อย่างที่ได้กล่าวถึงโครงการ อ่างเก็บน้ำเขาเต่า คำว่า อ่างเก็บน้ำเขาเต่า นี่ก็ดูท่าทางโก้ดี เพราะว่าอ่างเก็บน้ำดูจะเป็นโครงการที่ใหญ่ แต่ที่จริงเป็นโครงการเล็กนิดเดียว และเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ได้แล่นรถไปเมื่อเป็นเวลาเกือบ ๕๐ ปี ที่ไปหัวหิน และแล่นรถไปตามชายหาด แล่นจนกระทั่งไปถึงหมู่บ้านเขาเต่า บนหาดทราย และขึ้นไปบนบก บนฝั่ง บนบก และผ่านหมู่บ้านเขาเต่า ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง และเป็นหมู่บ้านที่ชาวบ้าน ไปเก็บหอยเพื่อหากิน เขาไม่ค่อยได้ทำการเพาะปลูก และแม้จะประมง ก็ไม่ได้ทำมากนัก โดยมากไปเก็บหอย เราก็แล่นไปตรงนั้น ข้ามหมู่บ้านแล้ว ก็มีทุ่ง คล้ายๆ เป็นทุ่ง ซึ่งเขาเรียกว่า ตะกาด ตะกาดนี้ เป็นพื้นที่ที่น้ำทะเลขึ้นถึง และเป็นโคลน เวลาน้ำลงก็เป็นโคลน เวลาน้ำขึ้นก็แฉะๆ เราก็แล่นรถจี๊ปไป แล่นๆ ไป ก็จมเลน มีชาวบ้านมาเข็นรถ ช่วยกันเข็น ทั้งทหาร และตำรวจ ก็มาช่วยกันเข็น จนกระทั่งข้ามไปอีกข้าง และไปเจอทาง ทางเกวียน เหมือนทางเกวียนข้ามไป จนกระทั่งอ้อมเขาเต่า ไปลงหาดทรายอีกแห่งหนึ่ง ที่เรียกว่า หาดปราณคลิคีรี 

       หาดปราณฯ นั้นน่ะ ได้แล่นรถไป จนกระทั่งถึงปากแม่น้ำปราณ ทั้งหมดนี้ ไม่ได้ไปเป็นครั้งเดียว แต่เป็นหลายครั้ง แต่การที่ข้ามตะกาดนั้น ก็เกิดความคิดว่า ตรงนั้นเป็นที่ที่เปล่าประโยชน์ เพราะว่าน้ำก็ไม่มีมากพอ ที่จะทำประโยชน์ แต่น้ำก็มีมากเกินไป ที่จะทำประโยชน์ จึงนึกว่า ถ้าสมมติว่า กั้นตรงทางที่น้ำทะเล น้ำเค็มเข้ามาปิดตรงทางเข้า สามารถจะเอาน้ำทะเลออกไป และกักน้ำจืดไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ ทั้งเป็นประโยชน์ในด้าน ที่จะใช้น้ำจืดนั้น เป็นน้ำสำหรับทำการเพาะปลูก และเป็นน้ำสำหรับทำการประมง จึงบอกกับอธิปดีชลประทาน ในขณะนั้น คือ ม.ล.ชูชาติ กำภู ให้ช่วยคิดทำกั้นตรงนั้น ทีแรกก็ ม.ล.ชูชาติก็ เห็นว่า ไม่ ไม่คุ้มไม่ดี เพราะว่าถ้าทำแล้วก็ ตรงนั้นอาจจะมีน้ำ แต่ว่าน้ำจะไม่ได้ทำประโยชน์อะไร บอกว่า ควรจะทำน้ำให้อยู่สูงกว่า แล้วก็กั้นตรงนี้ ใช้เป็นที่ทำการเพาะปลูก แต่ในเวลานั้น รู้สึกว่า โครงการที่อธิปดีชลประทานเสนอ เป็นโครงการที่ค่อนข้างจะสิ้นเปลืองมาก สิ้นเปลืองในขณะนั้น ในสมัยนั้น ว่าจะใช้เงินถึง ๑ ล้านบาท ซึ่งสำหรับเดี๋ยวนี้ คล้ายๆ ว่า ๑ ล้านบาทก็ขี้ผง ทำอะไร ทำอะไรไม่ได้ ๑ ล้านบาท แต่สมัยโน้น ๑ ล้านบาท นับว่าเป็น เป็นเงินจำนวนมาก ก็เลยบอกว่า เชื่อเถิดทำเป็นประตูน้ำ เป็นกั้นไว้ ซึ่งก็ทำได้ และสิ้นเปลืองน้อย นับว่าไม่มากนัก คือ ๖๐,๐๐๐ บาท ไอ้ ๖๐,๐๐๐ บาทนั้น มิได้เป็นเงินของ ของราชการ ไม่ได้เป็นเงินของส่วนรวม ของประชาชน เป็นเงินส่วนตัวที่ให้เขาไป ทำไปเถอะ ๖๐,๐๐๐ บาท ซึ่ง ๖๐,๐๐๐บาทก็ถือว่าไม่น้อย ถ้า แต่ถ้าทำได้ประโยชน์ดี ก็นับว่าเป็นประโยชน์มหาศาล ถ้าทำแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์ ก็ยังไม่เสียหายมากนัก และเงินงบประมาณไม่ได้เสียเลย 



       ในที่สุดก็ทำได้ นั่นเป็นปี ๒๕๐๖ เวลาทำแล้ว ฝนไม่ลง เพราะที่นั่นเป็นที่ที่แห้งแล้ง ที่เขาเต่านั้น เป็นที่ที่แล้งที่สุดในประเทศไทย ใครๆ บอกอีสานแล้ง จะต้องสร้างอีสานเขียว อีสานฝนลงมา มากกว่าที่นี่หลายสิบเท่า ที่เขาเต่าในสมัยนั้น ฝนตกเพียงปีละซัก ๑ วันหรือ ๒ วัน แต่ว่าในที่สุดน้ำก็ ได้เพิ่มขึ้นมาหน่อย แต่น้ำก็ยังกร่อยมาก จะเรียกว่ากร่อยก็ยังไม่ได้ เรียกว่าเค็ม เค็มทีเดียว เพราะว่าน้ำที่เข้ามาในนั้น คือน้ำเกลือ น้ำทะเล แล้วก็เมื่อน้ำทะเลเข้ามา เรากังกักเอาไว้ ตลอดปีมันก็ระเหย ระเหย น้ำมันระเหยไป เกลือไม่ระเหย ทำให้น้ำนั้นเค็มกว่า เค็มกว่าน้ำจืด เอ้อน้ำทะเล น้ำ น้ำทะเลกลายเป็นเหมือนน้ำจืด เลยไม่ทราบว่าจะทำยังไง ปีต่อไป ได้ไปที่ประจวบคีรีขันธ์ ที่คลองวาฬ ซึ่งมีสถานีประมงที่คลองวาฬ เขาเลี้ยงปลา ที่เป็นปลาทะเล เรียกว่า ปลานวลจันทร์ทะเล เขาจับปลานวลจันทร์เล็กๆ ที่อยู่ในทะเลเอามาขาย และสำหรับเลี้ยงใน ในบ่อ ซึ่งถ้าเลี้ยงในบ่อ น้ำมันจืดลง ปลานวลจันทร์ทะเลนั้น ก็เติบโตได้ เป็นอันว่า จะเป็นอาชีพสำหรับชาวบ้าน ไปซื้อมา เขาไม่ได้ซื้อ เราซื้อให้ ไปซื้อเอามาปล่อยในอ่างเก็บน้ำ และเมื่อปล่อยแล้วมันก็เติบโต เติบโตดี ปีหนึ่งมันเติบโตมาขายได้เป็นเงิน เป็นหลายแสน แต่ว่าชาวบ้านก็ไม่ค่อยสนใจ จึงเลิก ปลานวลจันทร์ทะเลมันไม่ มันไม่เติบโต เอ้อมันไม่แพร่พันธุ์ในบ่อ ในอ่าง มันจะแพร่พันธุ์ได้แต่ในทะเล แต่ก็ยังไงก็จับได้และค้าขายได้ ซึ่งถ้าสมมติว่า ไปซื้อมาแล้วมาปล่อยแล้วก็ดูแล และถึงเวลาก็ขาย ก็เป็นอาชีพที่ดี 




       มาถึงปีต่อไปนั้น ก็จับปลานวลจันทร์ทะเล ก็ได้จำนวนปลามากพอสมควร แต่ที่แปลกที่สุด ไปจับไปจับมาจับมา ได้จับได้ปลาที่เรียกว่า ปลาหมอเทศ ใครเอามาใส่ก็ไม่ทราบ ไม่มีใครยอมรับว่าเอามาใส่ แต่ก็ได้ปลาหมอเทศ ๑๕ ตัน ซึ่งก็นับว่า เป็นผลพลอยได้ที่ดี แต่ปลาหมอเทศนั้น คนไม่ชอบ บอกว่าปลาหมอไทยอร่อยกว่า ปลาหมอเทศนี่ของเทศ ใช้ไม่ได้ เราก็ไม่ได้ตั้งใจที่นำมาใส่ แต่ว่าปลาหมอเทศนี่ เราถือว่าเป็นผลพลอยได้ ก็เอาขึ้นมา และตั้งใจจะให้ตากแห้ง และทำป่น ทำเป็นปลาป่นสำหรับเลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด ชาวบ้านก็บ่นบอกว่าเหม็น เขาไม่เอาใจใส่เลย ฉะนั้นก็ เราก็กลายเป็นคนไม่ดี เอาของมาทำให้ ทำให้สกปรก ทำให้เป็น pollution ต้องบอก pollution เพราะว่าต้องพูดภาษาอังกฤษนะ ถ้า ถ้าพูดภาษาไทย ไม่มีใครเข้าใจ เป็น pollution ก็ไม่สำเร็จ ลงท้ายก็ไม่ ไม่เอาอีก เลยไม่ได้ไปที่เขาเต่านี้ เป็นเวลาแรมปี เพิ่งไปเมื่อ เมื่อ ๒ เดือน ไป ไปดูแล้วก็ คนก็ฮือฮากันว่า เป็นโครงการที่เก่าแก่ที่สุด เป็นโครงการชลประทานอันแรก ของพระเจ้าอยู่หัว ก็ถึงบอกว่าค่อนข้างจะบังเอิญ ที่ทำโครงการนี้ และก็ผล ผลที่ได้ ก็บังเอิญเหมือนกัน บังเอิญมี มีปลา แต่ลงท้ายผลก็ไม่สำเร็จ ไม่ได้เป็นผลสำเร็จ แต่ทีหลังก็ที่ไปดู เลยกลายเป็นผลสำเร็จอย่างยิ่ง เพราะว่าไปที่นั่น ไปดูที่ ที่โรงเรียน ที่โรงเรียนนั้น ในครั้งโน้น มีโรงเรียนเล็กๆ มีครูคนเดียว แล้วก็มีนักเรียนไม่กี่คน เป็นที่ที่ลุ่ม ปลูกหญ้าให้เด็กวิ่งเล่นก็ไม่ขึ้น ได้ไป ได้ไปดูที่ตรงนั้น และมีผู้เชี่ยวชาญทางองค์การอาหาร และเกษตร ได้ไปด้วย ซึ่งเขาเป็นคนผู้เชี่ยวชาญ ทางเกี่ยวข้องกับดิน ก็ปรึกษาเขา ปรึกษาเขาว่าเป็นอย่างไร ดินที่นี่เป็นอย่างไร เขาก็อุตส่าห์ไปเอาที่เจาะ ไม่ใช่เครื่องใหญ่โต เป็นที่เจาะเหมือนสว่าน สว่านมือ ไม่ใช่ไฟฟ้า เจาะแล้วเอาขึ้นมา เขาก็ไปตรวจดู บอกว่าดินนี้แย่มาก ที่เขาเต่านี้สถานการณ์เรื่องน้ำ ก็ที่แย่ที่สุดในประเทศ ทั้งนี้สำหรับดินก็เป็นสถานการณ์ ที่แย่ที่สุดในประเทศเหมือนกัน เป็นดินที่ถ้าจะปลูกอะไร ไม่มีอะไรขึ้น เพราะว่าไม่มีอาหารสำหรับ ให้ปลูกพืชอะไรเลย ถึงหญ้าไม่ขึ้น ก็มีวิธีที่จะแก้ไข 

       วิธีแก้ไขก็ใช้เอาดินลูกรัง ซึ่งแต่ละคนก็คงได้เคยเห็น ดินสีแดงลูกรัง ไม่ ไม่ได้นึกว่าจะมาทำการเพาะปลูก เพาะปลูกได้ แต่ความจริงดินลูกรังนี้ มีอาหารที่ดีสำหรับพืชพอสมควร แต่ว่ามันไม่ขึ้น เพราะว่าไม่มีจุลินทรีย์ ที่จะมาช่วยให้พืชสามารถที่จะดูด ดูดเอาอาหารที่อยู่ในดิน ก็ไปเอาดินลูกรังมาจากเนิน ที่อยู่ข้างถนน ทางด้าน ด้านเนินที่อยู่ทางตะวันตก แต่ไม่ไกลนัก ก็เอาดินมาใส่ และก็ปลูกหญ้า ปลูกดอกไม้ ปลูกต้นไม้ก็ขึ้นได้ดี ทีนี้การที่ได้ไปเมื่อ เมื่อ ๒ เดือนนี้ ไปมิได้ไปสำหรับไปปลูกอะไร มิได้ไปสำหรับไปเลี้ยงปลา มิได้ไปสำหรับทำอะไร ที่จะเป็นเงินเป็นทอง แต่ไปสำหรับไปสอนเด็ก เอาเด็กไป แล้วไปให้เขาดู ว่าทำยังไง สำหรับตรวจดิน ว่าดินเป็นอย่างไร แล้วก็บอกเขาว่า นี่แหละเมื่อสมัยก่อนนี้ เมื่อ ๔๐ กว่าปีได้มาที่นี่ และได้มาเจอผล ได้มาเจอสถานการณ์ที่ไม่ดี สถานการณ์ที่ รู้สึกว่าแร้นแค้นมาก แล้วก็ชาวบ้านที่เขาเต่านี้ ไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร แต่เดี๋ยวนี้ เขาก็อยู่ดีกินดีพอสมควร ก็มาจากการพัฒนา พัฒนาให้ดินดีขึ้น ให้สถานการณ์ที่ใน ในละแวกนั้นดีขึ้น เขาก็ได้เห็นว่าเราทำอย่างไร ทั้งที่โรงเรียน ที่โรงเรียนนั้น ก็เป็นโรงเรียนเดี๋ยวนี้ มีนักเรียนมากขึ้น แล้วก็มีครูมากขึ้น ครูเดิมเขาก็ยังอยู่ แต่ว่าเป็นครูที่ปลดเกษียณแล้ว อายุ อายุมากหน่อย แต่ว่ายังแปลกใจ อายุยังไม่ นึกว่าจะเป็นคนแก่ แท้จริงเป็นหนุ่มๆ อายุตอนนั้น เดี๋ยวนี้ก็ซัก ๖๘ ก็หนุ่มๆ ๖๘ ก็เลยได้พบ หูตึง ไปคุยกับเขาลำบาก เราก็หูตึงเหมือนกัน เขาก็หูตึง ก็คุยไม่ค่อยได้ แต่ไม่เป็นไร เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เราก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็ไปดูอีกแห่งหนึ่ง อีกข้าง ซึ่งเคยเห็นว่าเขาไถลงมา ใช้เครื่องไถเป็นเนิน เป็นเนินที่ลงมาจากภูเขา ไถลงมาแล้วก็เมื่อมีฝน ดินก็ถูกทลายลงมาในอ่าง มันก็เสีย เสีย เสียหลายอย่าง ดินก็เสียหมด อาหารในดิน แล้วก็อ่างก็ตื้นเขิน นี่เป็นปัญหาที่เจอทั่วทั้งประเทศ ว่าทำไม่ดี คือไถสำหรับทำการเพาะปลูก แล้วก็ มันก็ทลายลงมา ทำอ่างเก็บน้ำทลาย ทลายดินลงมา ดินก็มาทำให้อ่างเก็บน้ำนั้นตื้นเขิน 

       นี่ก็ไปครั้งนี้ไปดูโครงการ คำว่าโครงการนี้ โก้ว่าเป็นโครงการ แต่ก็โครงการนี้ก็ได้เห็นว่า ทั่วประเทศ มีสิ่งที่ทำแล้วบกพร่อง ถ้าบกพร่อง จนกระทั่งทำให้ที่ตรงนั้น เจริญขึ้นไม่ได้ แต่ก็ ก็เจริญได้พอสมควร ก็เพราะว่ามีคนไปช่วย แต่ก็ยังไงก็ตาม ก็ได้ให้นักเรียนได้เห็นว่า ในที่ที่แร้นแค้น มันไม่เจริญขึ้นมาได้ อย่างที่ควรจะเกิดเจริญได้ เพราะว่าไปทำอะไร ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกหลักวิชา อันนี้ อะไรก็ตาม ทั้งนี้ก็อยากให้ เด็กเขาได้ทราบ ได้เห็น ก็เข้าใจว่า เขารู้ เขาได้เห็น และก็ได้เกิดความรู้ขึ้นมา และเขาจะต้องหาความรู้เองต่อไป ไม่ใช่ว่าจะไปบอก เราต้องทำอย่างนั้นๆ แล้วก็ เขาก็ทำ แล้วก็ได้ผล แต่นี่เขาให้เห็นกับตัว ตัวเขาเองได้เห็นว่า ในภูมิประเทศที่แร้นแค้น มันทำได้ เพิ่มขึ้น เพิ่มความเจริญได้ แต่ว่าที่ ที่คนไม่ค่อยอยากทำ มันก็เจริญไม่ได้ หรือเจริญช้า ถ้าเจริญช้า ก็เท่ากับว่าถอยหลัง ทั่วประเทศก็เป็นอย่างนี้ ซึ่งนายกฯ มาพูดตะกี้ว่า ทำงาน ๕๐ กว่า ๕๐ ปี มีโครงการเกิน เกิน ๒,๐๐๐ โครงการ โครงการนั้นน่ะ ๒,๐๐๐ โครงการนั้น ความจริง ๒,๐๐๐ มันน้อย ในประเทศน่ะ มีโครงการเป็นแสนเป็นล้าน แต่ว่าถ้าทำตามแบบที่ ที่เหมาะสมที่ถูกต้อง ไม่ต้องให้พระเจ้าอยู่หัวไปทำ ทำ ไม่ต้องแม้แต่นายกฯ ไปทำ ต้องทำ คนที่มีหน้าที่ทำ ก็ทำไป และเมื่อทำไป ถ้าอยากให้มีกำลังใจ เราก็อาจจะมาโอ้อวดกันนิดหน่อย ว่าในตำบลของตัว ทำอย่างนั้นๆ ดี ได้ ได้ประโยชน์ขึ้นมา ก็อันนี้ก็จะดี เพราะว่าคนที่ได้ทราบ ว่าชาวบ้านในตำบลโน้นๆ ได้ทำ และได้ประโยชน์ ก็มาอวดให้คน ที่ยังไม่มีความคิด ได้ทำบ้าง และอาจจะเชิญ ผู้ที่เขาทำได้สำเร็จมา มาดูในที่ที่ ที่ยังไม่สำเร็จ หรือยังไม่ดี หรือยังไม่รู้ว่า ควรจะทำอย่างไร อันนี้ก็เป็น เป็นเรื่องที่จะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าได้ ไม่ถอยหลัง 

       ซึ่งก่อนลงมานี้ มิได้ตั้งใจจะมาพูดเรื่อง เรื่องพัฒนา ตั้งใจจะมาพูดถึงเรื่อง เรื่องความหายนะ ซึ่งปัจจุบันนี้ ทุกคนทราบดีว่า ประเทศดูเหมือนว่า จะหายนะ ไม่ใช่ พัฒนะ ไม่ใช่วัฒนะ เพราะว่า เดี๋ยวนี้อะไรๆ ดูจะเสื่อมลง ทางนายกฯ ดูนั่งทำหน้ามุ่ย รู้สึก รู้สึกไม่พอใจที่บอกว่า ประเทศหายนะ แต่เป็นความจริง เพราะว่า ทำอะไรมันดูมีปัญหาทั้งนั้น แต่สำหรับท่านนายกฯ น่ะไม่มี นายกฯ Happy แต่ว่า Happy ข้างนอก ดูท่าทาง Happy แต่ข้างในไม่สบายใจ ก็ว่าไม่รู้จะทำยังไง เพราะว่าไม่ก้าวหน้า แต่ยังไง การก้าวหน้านั้น นายกฯ ก็ได้ให้สูตรไว้แล้วว่าทำยังไงให้ก้าวหน้า คือ จะต้องสามัคคีกัน ร่วมกันทำ แล้วถ้าร่วมกันทำ มันก้าวหน้าได้ แต่ถ้าไม่ร่วมกันทำ ไม่ ไม่มีทางก้าวหน้า แล้วข้อสำคัญเรามานึกถึงคำว่า ทัศนะของแต่ละคน ความคิดของแต่ละคน ก็มีความคิดดีทั้งนั้น แต่ว่าทัศนะของอีกคนหรือความคิด หรือเกณฑ์ของคนอื่น มันไม่เหมือนกัน ก็ขัดกัน ถ้าเรามีความคิดอย่างหนึ่งแล้วก็มาพูดกับอีกคน เขาบอกไม่ ไม่ถูก เขาก็มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าไม่ถูก แต่ตอนนี้เราจะทำยังไง ถ้าหากว่ามีความคิดใน ในงานอะไรอย่างหนึ่ง คนหนึ่งบอกต้องทำอย่างนี้ อีกคนบอกทำอีกอย่าง ขัดกัน มันจะสำเร็จได้อย่างไร มันไม่มีทางสำเร็จ แต่ว่าทางสำเร็จมันมี อยู่ที่จะต้องละทิฐิ ถ้าหากว่ามาพูดกัน และจะเห็นได้ว่ามีทาง ในงานอะไรก็ตาม ความจริงมันมีทางเดียว ไม่ใช่มีหลายทาง ถ้ามีหลายทาง บางทีก็มาดูดี ๆ มันก็ทางเดียวกัน ทางที่จะทำให้งานสำเร็จน่ะ ไม่ใช่มีหลายทาง มันมีทางเดียว แต่ความคิดไม่เหมือนกัน มีจับเกณฑ์ของตัวเป็นใหญ่ อีกคนหนึ่ง เขาก็มีเกณฑ์ของเขา ฉะนั้นจะต้องให้ปรองดองกันได้ 

       คำว่า ปรองดอง คำว่า สามัคคี สำคัญมาก ต้องมาหาทางที่ ที่มารวมปรองดองได้ แต่ว่าที่เป็นอย่างนี้ คน ๒ คน ความคิดไม่เหมือนกัน มีไม่เหมือน มีให้เหมือนกันไม่ได้ คน คนแต่ละคนมีความคิดต่างกัน มีแนวชีวิตคนละอย่าง ได้เรียนรู้มาคนละอย่าง ได้มีประสบการณ์มาคนละอย่าง แต่ว่าถ้ามา มาสัมมนากันน่ะ เชิงปฏิบัติการ ก็จะสำเร็จได้ แล้วไอ้คำเชิงปฏิบัติการนะ ต้องปฏิบัติ ถ้าทำสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แต่ไม่ได้ปฏิบัติ อย่างวันนี้นะ ไม่ใช่สัมมนาเชิงปฏิบัติการ นี่แหละพูด และพูดอยู่คนเดียว ถ้ามาพูดกัน คุยกัน และปฏิบัติ นี่ก็เป็น เป็นสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แต่ว่าการ การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แบบที่เราทำๆ กัน มันไม่ใช่ มันก็ ขอโทษนะ เป็นการไปเที่ยว ไปเที่ยวรถไฟน่ะ ก็มันไม่ถูก ถ้าหากว่าพูดกันให้รู้เรื่อง นั่นจะมีประโยชน์ ถึงต้องดูว่า แต่ละคน มีความคิดแตกต่างกัน ต้องพยายามที่จะให้ ความคิดนั้น ความแตกต่างนั้น มาปรองดองกัน 
แต่อีกอย่างหนึ่งที่จะพูด จะพูดแล้วก็แต่ละคนก็จะต้องโกรธตัวเอง ไม่ใช่โกรธคนอื่น อย่างคนที่ มีความคิดอย่างหนึ่ง แล้วก็ไปเจอคนที่มีความคิดอีกอย่าง ก็โกรธเขา รู้สึกโกรธ รู้สึกเคือง ว่าทำไมเขาไม่ ไม่มีความคิดเหมือนกัน ไอ้ไม่มีความคิดเหมือนกันน่ะ มันเป็นไปได้ แต่ที่น่าโกรธที่สุดก็คือ ตอนนี้เราคิดอย่างนี้ พรุ่งนี้เราคิดอีกอย่าง ขัดกันเอง ขัดกับตัว ตัวเราเอง ในตัวเราเองน่ะขัดกัน นี่ไม่รู้ว่า มาคิดมา ๓ วันแล้ว ว่าจะแปลเป็นภาษาไทยว่ายังไง คือว่า แปลไม่ได้ หมู่นี้ฟังแต่ภาษาอังกฤษ ฟังภาษาไทยไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง เพราะว่า ไปฟังวิทยุไทยก็มี ภาษาอังกฤษ ทีนี้ก็เป็นเรื่องของการ เอ๊ะเดี๋ยวนี้ภาษาอังกฤษ ชักจำไม่ได้อีกแล้ว จำไม่ได้จริงๆ คือ สมองชักจะเลือน มันอายุมันมาก ก็เลยมีเรื่องของความคิดที่ขัดกัน มีคนละมาตรฐาน เขาเรียกภาษาอังกฤษ ว่า double standard double ก็สองอย่าง standard ก็เกณฑ์ เกณฑ์หรือมาตรฐาน มาตรฐานที่มี ๒ อย่าง คือหมายความว่า เราคิดว่า สำหรับตัวเราอะไรดี แล้วก็บอก แต่ว่าไปพูดกับอีกคน ไปพูดอีกอย่างว่า อันนั้นเป็นดีสำหรับเขา เป็น double standard อย่างสำหรับเราคนไทยถือว่า ทำอะไรอย่างนะดี แต่เราไปบอกว่าของ ของต่างประเทศเขาพูดอย่างนั้น เขาไม่ดี เนี่ยเรามี double standard ไอ้คำว่า double standard เนี่ย มันทำให้ ทำให้ความเจริญไม่เกิดขึ้น แต่ว่าอาจจะนึกว่า ความเจริญเกิดขึ้นได้ เพราะว่าเราไปต้มเขาได้ เราไป เราไปหลอกเขาได้ แต่ความจริง double standard นี้มีทั่ว ทั่วไป ทั่วโลก ไม่ใช่เมืองไทย เมืองไทยไม่เคย ก่อนนี้ไม่มีเท่าไหร่ double standard ต่างประเทศมีมากกว่า แต่ว่าเดี๋ยวนี้เมื่อ อย่างที่ว่าพูดภาษาฝรั่ง เราก็ต้องมีบ้าง 

       ดังนั้นการที่แก้ไขความเดือดร้อน ความหายนะ จะต้องดูว่าไอ้ double standard นี่ เราจะมาปราบได้ยังไง แล้วก็ขอ ขอให้ท่านไปคิดเป็นการบ้าน ว่า double standard นี่ภาษาไทยเขาเรียกอะไร คือคิดมา ๓ วัน ๓ คืน เวลาหลับก็ ก็คิด ตื่นมาก็เอ๊ะ ตะกี้คิดอะไร มันไม่รู้เลย ไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ว่ามาปรารภว่า ถ้าเราไม่ใช้ double standard ใช้ความตรงไปตรงมา จะ จะแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่ถ้ายังใช้อยู่ รู้สึกว่าจะไม่มีความเจริญ คนที่มี double standard อาจจะมีความเจริญของ ของเขาได้ แต่ว่าถ้าเรามี double standard ในตัวเราเอง เราขัดขาตัวเอง คือเดิน ๆ ไป ถ้าเดิน ๆ ไปขามันขัดกัน เราไปขัดขาคนอื่นไม่เป็นไร คนอื่นเขาหกคะเมน แต่ถ้าเราขัดขาตัวเอง ไม่มีปัญหาเราต้องหกคะเมน เพราะว่าตัวเราเอง เราไปขัดขาคนอื่น คนอื่นน่ะหกคะเมน เราอาจจะไม่หกคะเมนได้ แต่ถ้าไปขัดขาคนอื่น เราอาจจะหกคะเมนก็ได้เหมือนกัน ฉะนั้นไอ้การมี double standard ในตัวเอง อันนี้เป็นอันตรายที่สุด อันนี้ต้องขอให้ท่านไป ลองแปลว่า คือแปลว่าอะไร อันนี้ที่เป็นความเดือดร้อนในจิตใจ และความไม่สบายใจ ว่าสมัยนี้กำลังถอยหลัง เพราะว่าใช้ double standard ในตัวเราเอง หรือในประเทศเราเอง ถ้าไปใช้ double standard กับคนอื่นหรือประเทศอื่น ก็แล้วไป ไม่เป็นไร เขาอาจจะเสียหาย แต่เมื่อเขาเสียหายเขาก็โกรธเรา เราก็เสียหายเหมือนกัน เขาตีหัวเรา เราไปขัดขาคนอื่น คนอื่นเขาก็โกรธ เขาก็โกรธเขาก็มาตีเรา อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา 

       แล้วก็ที่มาถึงนี่แล้วก็นายกฯ ก็ได้ชมว่าทำให้ส่วนรวมได้ดีขึ้น ก็ดี ดีใจ ที่เห็นว่าเป็นเช่นนั้น แต่ว่าไอ้ความเดือดร้อนที่เดินลงมา อยากจะมาพูดกับท่านว่า เราต้องพยายามแก้ไขให้ความถอยหลังที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ในปัจจุบันนี้จะต้องแก้ไขให้เดินหน้า ให้ก้าวหน้า และให้มีความรุ่งเรืองต่อไปได้ มาถึงฟังดู ว่านายกพูดในนามของท่านทั้งหลายว่ามีความพอใจ ก็ดีใจชั่วขณะ ดีใจมากว่า โอ้ เราทำดี แต่มาคิดกลับไปที่เราตั้งใจจะมาปรารภ ก็กลุ้มใจ ถึงต้องพูดให้ ฝากให้ทุก ๆ ท่าน ไม่ใช่รัฐบาลเท่านั้น คนอื่นทุกคนว่า ต้องพยายามแก้ไข ไม่ให้ขัดขากันเอง ไม่ให้ขัดขากันเองโดยนึกตั้งใจว่า นึกจะได้ดี ฉะนั้น ต้องพยายามเข้าใจคำนี้ แล้วเอาไปแปลให้ดี แล้วก็ปฏิบัติ มานึกดูว่า Standard ก็คือ มาตรฐาน ดับเบิลก็ ขัดกัน คือ มาตรฐานที่ขัดกัน แต่ว่าถ้าขัด ๒ บุคคล ขัดกัน ก็เกิดทะเลาะกันได้ แต่คนบุคคลเดียวกันขัดกันก็อาจจะเดือดร้อนในตัว คือ ตัวเราน่ะมี อาจจะมีหลายตัว หลายคน ลืมว่า เราพูดอะไรตะกี้ เสร็จแล้ว เรามาขัด ขัดกัน เราก็เสียหาย อันนี้พูดย้ำ เพราะว่ามันเป็นจุดที่ค่อนข้างจะสำคัญ อันนี้ก็ พูดอย่างนี้ เพราะว่า ได้ยินตะกี้ว่า นายกฯ ชมว่าทำตั้งแต่เขาเต่า เราก็ตั้งใจที่จะมาเล่าให้ฟัง เรื่องอะไรที่ไม่ ไม่ดี สิ่งที่โสโครก วันนี้ดูท่าทางพูดอะไรไม่ค่อยดีหรอกครับ สิ่งที่โสโครก เมื่อ ๒๐ กว่าปี ๒๐ กว่าปีนั้น ก็ได้คิดถึงว่า สิ่งโสโครกที่ลงมาจากบ้าน แล้วก็ทาง เขาให้ทางเทศบาลมาดูดมาสูบไป แล้วก็ไป ไปทิ้งในที่ที่สมควร นี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อ ๒๐ ปี ได้คิดดูว่า ว่าที่เขา เจ้าหน้าที่ที่เขาไปดูดสิ่งโสโครก จากบ้าน แล้วเขาเอาไปไว้ที่ไหน เป็นปัญหา ก็ไปสืบดู เขาก็บอกว่าสูบเอาไป และเอาไปทิ้งในที่ที่เหมาะสม ไอ้ที่ที่เหมาะสมนั้น ไม่ทราบที่ไหน ก็ตามรถที่เขาเอาสิ่งโสโครกนั้นไป ตาม ตามรถนั่นไป แล่น ๆ ไปตอนกลางคืน มันก็ไม่ค่อยเห็น แต่มันแล่นไป ไปจอดที่คลองหรือที่แม่น้ำ จอดสักพักหนึ่ง ปล่อยลงคลอง ปล่อยลงแม่น้ำ เสร็จแล้วก็ในรถนั้น ก็ไม่มีสิ่งโสโครกแล้ว เป็นสำเร็จประโยชน์ เรียบร้อย สะดวกดี ไม่ต้องไปไกล ไปดูดที่บ้านที่อีกแห่งหนึ่ง เกิดจากเหตุอย่างนี้ 

       จึงเกิดความคิดว่า ถ้าหากว่า หาที่แห่งหนึ่ง นอกเมือง แล้วก็ไปทำถัง เอาสิ่งโสโครกนี่ ไปปล่อยใส่ในถังนั้น แล้วก็หมัก หมักไป ๑๐ วัน สิ่งที่เป็นสิ่งโสโครก ก็หายโสโครก มีเชื้อโรค เชื้อโรคอะไรล่ะ หมดไป ๑๐ วันก็หมดไป ถ้าให้ดี เอาเป็น ๒๘ วัน ให้ ให้มันจริง ๆ จัง ๆ โสโครกพวกเชื้อที่ร้ายแรง ที่เวลานั้นยังมีอยู่ ก็คงไม่ต้องบอกชื่อ ก็คงคนรังเกียจ ชื่อพวก สิ่งโสโครกเหล่านั้นคือ เป็นพวกเชื้อโรคต่าง ๆ ชนิด หมดไม่มี แล้วแม้แต่กลิ่นก็หมด ไปใส่อย่างนั้นแล้ว เสร็จแล้ว เอาออกมา มาตาก แล้วก็ใช้ ที่เป็นวัตถุนั้น มาใช้เป็นปุ๋ยได้ เป็นประโยชน์ มีส่วนที่เป็นสิ่งผลิตที่เป็นของแข็ง เป็นของแข็ง และสิ่งที่เป็นน้ำ น้ำก็เป็นปุ๋ย ปุ๋ยที่ไม่เหม็น ไอ้สิ่งของแข็งนั้นก็เป็นปุ๋ยที่ไม่แข็ง ไม่ ไม่เหม็น เมื่อเอาไปใช้แล้วเอาทำถังหลายถัง ก็เอาสิ่งโสโครกมาใส่อีกต่อไป ก็จะทำเอาของที่โสโครก และของที่ปฏิกูลมาใช้เป็นประโยชน์สำหรับการเกษตร ใช้ได้ ได้ปรึกษากับผู้ที่รู้ และได้ไปทำโครงการอันนั้น ที่นนทบุรี ๒๐ กว่าปี และก็เขาก็รายงานว่า ได้ผลดี มาเมื่อ ๒-๓ เดือน ก็เกิดคิดนี้ ก็ถามว่า เดี๋ยวนี้เป็นยังไง เขาบอกโอ้ยยังมี วิธีทำอย่างงี้ แต่ที่นนทบุรี ไม่มีแล้ว คงเป็นเพราะว่า เมืองมันขยายไป นนทบุรีนี่ เป็นที่ที่ เป็นที่ที่มีคนไปอยู่อาศัย ไม่ได้เป็นที่สำหรับการเกษตร แต่ว่าเขาไปทำที่อื่น ในจังหวัดอื่น ๆ ทำไปทำมา ก็เจอว่า ที่หัวหินก็มี ก็ให้คนไปดูที่หัวหิน แต่ปรากฏว่า ที่หัวหินไม่ค่อยสำเร็จ ไม่ดี เพราะว่าไปทำ แล้วก็มีคนมา มาสร้างบ้านอยู่รอบ นาน ๆ ไปคนที่สร้างบ้านอยู่รอบนั้น ก็เป็นใหญ่ บอกว่า ทำไมเอาสิ่งปฏิกูลมาทิ้งไว้ตรงนี้ มันเหม็น มันแย่ เขาก็ยังดีไม่เดินขบวนมาหารัฐมนตรี แต่ว่าจวนแล้ว เพราะว่าเขาบอกว่า อยู่ไม่ได้ ที่จริงเขาไม่ได้ แต่ก่อนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นั่น แต่เขามา มาอยู่ มาสร้างบ้านที่มาอยู่อาศัยที่รอบโครงการปฏิกูลนี้ ก็ตกลง โครงการปฏิกูลนี้ ตอนนั้นลงทุนถึง ๒ ล้านบาท เราไม่ได้ลงทุนหรอก เขาลงทุนเอง ควบกับเทศบาลหัวหิน แต่ว่ามีที่อื่นที่ยังพอใช้ได้ โครงการแบบนี้ ฉะนั้น ก็โครงการที่ทำอย่างนี้ ก็เป็นโครงการที่ส่วนมากท่านทั้งหลายคงไม่มี ไม่ได้เคยได้ยินว่า มีโครงการอย่างนี้ ทำขึ้น สิ่งปฏิกูลมาเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ว่าก็ต้องทำเหมือนกัน 



       เวลานี้ก็มีปัญหาที่ในกรุงเทพฯ ก็เคยพูดแล้ว ว่าในกรุงเทพฯ นี่ เอาของมาจาก จากต่างจังหวัด ที่เขาปลูกต่างจังหวัด ปลูกแล้วก็มาบริโภค มาบริโภคแล้ว ขอโทษ ถ่ายออก ถ่ายออก มาแล้วก็ ไอ้ที่ถ่ายออกนี่มันไปไว้ที่ไหน ก็ยังมีปัญหา ว่าจะทำปัญหาอย่างนี้ อันนี้ เทศบาล เทศบาลเป็นทุกข์ ก็ต้องพยายามที่จะพิจารณาว่า จะทำอะไรต่อไป พูดถึงเทศบาล ท่าน ท่านผู้ว่าฯ สมัคร ตอนนั้นน่ะมาบอกว่า จะทำโครงการสำหรับสุนัขเทศบาล สุนัขเทศ แต่ได้ข่าวว่าท่านได้ทำ ไปทำการทำหมันกับสุนัข แล้วเมื่อทำหมันสุนัขแล้ว ก็ปล่อยออกมาตามถนน แต่ปล่อยมาตามถนนนั้น ก็ขอโทษ มันเกิดเดือดร้อน เกิดเดือดร้อน ๒ อย่าง อย่างหนึ่ง ไอ้สุนัขที่ออกมานั้น มันก็วิ่งไปวิ่งมาถูกรถชนมันก็เกิดปฏิกูลน่ะสิ ก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่ว่าที่ท่านไปทำหมันน่ะ ที่แย่อีกอย่าง ก่อนที่จะปล่อยออกมาท่าน ท่านตัดหู ท่านตัดหูสุนัข ให้รู้ว่าเขาทำหมันแล้ว ไอ้นี่มันไม่รู้จะทำยังไง เราไปเจอสุนัข ที่หูแหว่ง อ้านี่แหละทำหมัน ทำหมันแล้ว ทำหมันสมัคร ขอโทษนะ (ทรงพระสรวล) ก็ได้ยินว่าอย่างนี้ แต่ก่อนนี้สุนัข ไปซื้อที่เมืองนอกมานะ เมื่อห้าสิบปีนั้น ตอนนั้นไปซื้อสุนัขเมืองนอกแล้วก็ สุนัขนั้นเขาตัดหู ไม่ใช่เพราะทำหมัน เขาไม่ได้ทำหมัน สุนัขที่ที่ซื้อมาเขาตัดหู และที่ตัดหูนั้นไม่ได้ทำหมัน รู้มา เพราะว่าเป็นพ่อแม่ของสุนัขที่รู้จักกันวันหลังว่า โจโฉ ตัวนั้นเป็นสุนัขที่มีชื่อเสียงมาก แต่เสียไปแล้ว ตายไปแล้วหลายปี บางก็คนอาจจะจำได้ ว่าโจโฉนั้นน่ะพ่อแม่เขาหู หูแหว่ง ไม่ได้ เขาตัด ตัดหู แต่ไม่ได้ทำหมัน โจโฉ น่ะไม่ได้ตัด ไม่ได้ตัดหู ไม่ได้ทำหมัน แต่ว่าโจโฉก็เขา เขาไม่ได้มีบุตร ไม่มีลูก แต่ยังไงก็ตาม ของเทศบาลสุนัขที่ตัดหูแหว่ง ไม่ได้ตัดหู แบบ แบบพ่อแม่โจโฉ มีสุนัขของคุณสมัครนี่ มีลูกไม่ได้เพราะว่าไปทำหมันเขา เราไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร สำหรับให้ ให้รู้ว่านี่เป็นสุนัขสมัคร แต่ว่าอย่าให้มัน สุนัขบางตัวก็น่ารัก สวย แต่หูแหว่ง ไม่มีใครอยากไปเลี้ยง แต่ถ้าสุนัขที่ทำหมันแล้วได้ดูแลเกี่ยวข้องกับ กับอนามัยสุขภาพของเขา มีคนอยากได้ คนอยากได้ไปเลี้ยง มี และแม้จะอยู่ กลางถนนมีคนไม่ใช่คนหรูหราอะไร มีคน พวกแท๊กซี่ พวกอะไรนั่น เขาก็เลี้ยงดู เพราะว่าเขา คนไทยนี่เมตตา แต่สงสัยว่า ถ้ามันหูแหว่ง เขาอาจจะไม่เอา 

       ถ้างั้น เราขอ ขอฝาก ว่าไปหาวิธีที่จะแก้ไข มีสัตวแพทย์คนนึง พบเมื่อวานนี้เอง เขา เขาบอกว่า ไม่น่าจะตัดหูให้แหว่ง ใส่ไมโครชิพให้รู้ ก็บอกเขาไมโครชิพนี่มันสิ้นเปลือง ทำให้หูแหว่งปึ๊บเดียวก็ง่ายกว่า แต่ว่าไมโครชิพนี่ ก็ที่จริงเขาบอกว่าไม่แพง และมีคนที่จะบริจาคไมโครชิพ แต่มันไม่เห็น คนมาค้านว่า ใส่ไมโครชิพมันไม่เห็น เดี๋ยวไปที่ไหนต้องเอาเครื่องไปตรวจว่า นี่ไมโครชิพหรือเปล่า แต่เขาทำ เมืองนอก เขาทำ เขาเอาสุนัขที่เร่ร่อนแล้วก็มาใส่ไมโครชิพ มาใส่แล้วมี มีเบอร์ว่า มันเบอร์อะไร ๆ รู้หมด ก็คนที่อยาก อยากดูว่าคนนี้ทำหมันเมื่อไหร่ ชื่ออะไร ก็เอา เอาเครื่องมา มาจิ้มดู แล้วก็ไปถามคุณสมัครว่า ทำ ทำหมันเมื่อไหร่ ชื่ออะไร เป็นพันธุ์อะไร ก็เป็นพันธุ์เทศ หมาเทศ เป็นหมาเทศ เทศบาล นี่แล้วก็ต้องพยายามที่จะหาวิธีที่จะกำจัด เลิกไม่ให้มีหมาเร่ร่อน เสียหาย แต่ว่าหาวิธีที่จะให้สุนัขพวกนี้ ได้ไปมี มีเจ้าของ เจ้าของเขา เขาก็เอ็นดู เขาก็ดูแลได้ อย่างของเราที่นี่มี มีหมาเทศอยู่เยอะเลย เดี๋ยวนี้มีถึง ๔๓ แล้ว ที่ที่มีอยู่นี่ ที่นี่คือ เฉพาะที่อยู่ใน ในปกครอง ๔๓ แล้วก็มี ๔๓ เพิ่งมาใหม่ ๗ แต่นี่เป็นหมาเทศ เอ้อไม่ใช่สิ หมาต่างประเทศ หมาต่างประเทศก็มาจากหมาเทศ เพราะว่าอย่างที่เล่า เล่าให้ฟังว่าเรามีหมาเทศ คือหมาที่มีชื่อเสียงดีมาก คือหมาชื่อทองแดง อ้ารู้จักกันนะ ทองแดงนี่เป็นหมาเทศ เพราะมาจากเทศบาลแท้ ๆ นี่แท้ ๆ เกิดในเทศบาล คือว่า ตอนที่เขาจับ จับสุนัขไป แล้วก็มีคนที่ถือตัวว่า ถือว่าเป็นเจ้าของและอยู่ในซอยก็ไป ไปที่เทศบาล เอาคืนมา เมื่อเอาคืนมาได้ แม่ของทองแดงเนี่ย ทองแดง ยังไม่เกิด แม่ของทองแดงมาด้วย แถมมา ทองแดงนี่เป็นหมาเทศพันธุ์แท้ พันธุ์แท้แท้ทีเดียว แต่ว่าทองแดงนี่เป็นต้นตำหรับของหมา หมาต่างประเทศที่มาเกิด ๗ ตัว เขา ๗ ตัวนี่ พ่อก็เป็นชาวต่างประเทศ แม่ก็เป็นชาวต่างประเทศ แต่ลูกเป็นหมาเทศ ลูกเป็นหมาต่างประเทศ แต่เขา เขาเกิดในเมืองไทย ก็มีมีสัญชาติเป็นไทย เป็นชาวไทย ตกลงก็ที่นี่มีหมา หมาต่างประเทศ ๓ แล้วก็มีหมาเทศ ๔๐ มี ๔๐ ท่าน 
ต้องบอกท่านเพราะว่าเขามีเกียรตินะ ก็เลยจะไม่ ไม่ได้ทำหูแหว่ง กลัวว่าเดี๋ยว ผู้ว่าฯ สมัครมา แล้วไปด้อมดู โอ๊ยนี่ไม่แหว่ง นี่ไม่แหว่ง นี่ไม่แหว่ง นี่จับเอาไปเลย แล้วให้ท่านทำอย่างไร ต้องหาวิธีการ วิธีการอย่างหนึ่ง ห้ามไม่ให้คุณสมัครไปดู ไม่ให้ไปดูที่คอกหมา ก็จะได้ปลอดภัย แต่คุณสมัครเข้าไปในตรงนั้นต้องมีบัตร ต้องติดบัตร บัตรนี้ บัตรพวกนี้ไม่ได้ ใช้ ไม่ได้ เข้าในเขตนั้นไม่ได้ เข้าในเขตนี้ได้ ก็นี่แหละเป็นการทำระเบียบให้เรียบร้อย พูด พูดเลยเถิดไป ค่อนข้างจะ จะมากไปหน่อย แต่ว่าที่ท่านมานี่ ก็รู้สึกว่าให้มีความรื่นเริง แล้วก็ให้พยายามที่จะพูดกันให้รู้เรื่องกัน ถ้าพูดกัน รู้เรื่อง เมืองไทยคงจะดีขึ้น ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง ซึ่งเดี๋ยวนี้มันพูดมันไม่รู้เรื่องจริง ๆ เพราะทำไม เพราะแต่ละคน มีทิฐิของตัว แม้จะตัวเองก็มีทิฐิกับตัวเอง ก็ใช้ไม่ได้ ก็อันนี้บอกเป็น เป็นปริศนา ก็ไม่อยากจะบอกว่า ใครไม่ดี หรือใคร ใครทำไม่ดี ใครทำไม่ถูกนะ ไม่มีใครทำไม่ถูก ทุกคนทำถูก ก็ตาม ตามหลักของตัว ตัวเราทำถูก ตัวเราทำต้องทำถูก ไม่มีทำไม่ถูก นอกจากบางคนที่เขา แหมข้าพเจ้ารู้ดีว่าไม่มีไม่ดีอย่างนั้น ๆ แต่ว่าคนที่ทำบอกว่าข้าพเจ้าทำไม่ถูก เกือบไม่มี ส่วนมากน่ะข้าพเจ้าทำถูกทั้งนั้น แต่ถ้าบอกว่าข้าพเจ้าทำถูก อีกคนบอกท่าน พณฯ ทำไม่ถูก เอ๊ย ไม่ใช่ พณฯ ท่านทำไม่ถูก ก็ มันก็ขัดกัน มันขัดกัน แต่ว่าถ้าคนนึงบอก ข้าพเจ้าทำ ก็มีบ้าง ทำไม่ถูกก็มีบ้าง อีกคนก็บอก ท่านก็บางทีก็ทำ ทำถูก เพราะว่า เข้าใจกันได้ ถ้าเข้าใจกันได้แล้ว คนในเมืองไทย ๖๐ เท่าไหร่ ๖๒ ล้าน ถึงป่านนี้ก็กว่าแล้ว ก็สามารถที่จะปรองดองกัน สร้างความมั่นคง ใน ในประเทศ คนอื่นก็ชั่งมันล่ะ ชาวต่างประเทศ ชาวบ้านต่างประเทศ เขาก็เข้า ๆ ออก ๆ เข้าๆ ออกๆ ทุกนาทีก็เข้ามา แต่ว่าส่วนรวมของคนที่ถือว่าเป็นคนเจ้าของประเทศ อย่าให้ขัดแย้งกัน แล้วก็ยอมรับว่าถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง ก็มีความสุข 

       แล้วอย่างนี้ที่บอกว่ามาถวายพระพร สำหรับส่วนตัวนี้เรา เราก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวว่า อยากมีความสุข ไม่ใช่ไม่อยากมี อยากมีความสุข แต่ใครมาทะเลาะกันต่อหน้า คนนี้ไม่ดี คนนี้ไม่ดี แล้วข้าพเจ้าดี ท่านจึงจะไม่ดี ก็อย่างนี้ไม่มีความสุข คนที่บอกว่าท่านไม่ดี คนนั้นก็ไม่มีความสุข คนที่ถูกว่าท่านไม่ดี คนนั้นก็ไม่มีความสุข อยากยอมรับข้าพเจ้ามีดี และข้าพเจ้ามีไม่ดี ท่านมีดี ท่านมีไม่ดี แล้วก็พูดช่วยกันแก้ไขว่า ท่านไม่ดีตรงไหน ช่วยกัน คิด คิดออกไหม อ้อ! ใช่ข้าพเจ้ามีไม่ดีตรงนี้ต้องแก้ไข ทุกคนก็สบาย ทุกคนก็มีความสุข ข้าพเจ้าเองก็มี ความสุข เป็นอย่างนั้น ที่มาให้พรก็ได้ผล แต่ได้ผลว่า พระเจ้าอยู่หัวมีความสุข ใช้คำพระเจ้าอยู่หัวมีความสุข ก็ไม่รู้ ดูท่าทางมันแปลก เพราะว่าเขาว่าพระเจ้าอยู่หัวมีความสุขไม่ได้ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเขาว่า พระเจ้าแผ่นดินมีความสุขเสมอ เพราะว่าใคร ๆ บอกว่า มีความสุข มีความสุขเหมือนพระเจ้าแผ่นดิน Happy as a King ก็ไม่จริง แต่ว่าถ้าท่านทุกคน ทำว่า ท่านทำถูก ท่านก็รู้ว่าทำถูก ท่านทำผิดก็รู้ทำผิด อีกคนบอกอีกคนทำผิดทำถูก ก็รู้กันแล้ว The King จะ happy as a King ได้ อันนี้น่ะได้อย่างนั้น ก็เป็นอันว่าถ้าหากว่า ท่านทำอย่างนั้นได้ ท่านก็มีความสำเร็จ 

       เกิดความสำเร็จในกิจการ ถือว่าวันนี้ก็เป็นกิจการอย่างหนึ่ง ท่านมา มาคอยตั้งนาน แล้วก็มานั่งเมื่อยอยู่ตั้งนาน แต่เป็นกิจการที่มี ความสำเร็จ ฉะนั้นก็ ถ้าท่านอยากให้กิจการใด ๆ สำเร็จ ก็ขอให้ทำอย่างที่ว่า อย่างที่ที่บอก ก็ขอบใจท่าน ถ้าท่านสามารถที่จะปฏิบัติ ให้พระเจ้าแผ่นดินมีความสุข เหมือนพระเจ้าแผ่นดิน ก็ขอบใจท่านทั้งหลาย ขอให้ท่านก็มีความสุขเหมือนกัน 

Read More...

บ้านคลองวาฬ ประจวบคีรีขันธ์

บ้านคลองวาฬ ประจวบคีรีขันธ์

       เมืองประจวบคีรีขันธ์แต่เดิมเป็นเมืองที่เกิดขึ้นโดยการรวมหัวเมืองต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยเมืองบางนางรม เมืองกุยบุรี และเมืองคลองวาฬเข้าเป็นเมืองเดียวกัน ดินแดนก่อนที่จะเป็นเมืองคลองวาฬนั้น ก็คงจะเป็นหมู่บ้านหรือชุมชนชายทะเลที่มีประชากรไม่มากนัก แต่ต่อมามีผู้อพยพมาอาศัยอยู่และทามาหากินกันมากขึ้น อีกทั้งเป็นพื้นที่ที่สาคัญทางยุทธศาสตร์เพราะใกล้กับช่องเขาที่ทั้งคนไทยและคนพม่าใช้เป็นหนทางเข้าสู่ดินแดนของกันและกันโดยเรียกกันว่า ด่านสิงขร” เมืองคลองวาฬเป็นเมืองหน้าด่านที่สาคัญเมืองหนึ่งในจานวนหัวเมืองปักษ์ใต้ ๒๐ หัวเมือง เช่น เมืองปราณ เมืองกุย เมืองกำเนิดนพคุณ เป็นต้น

        เมื่อกองทัพพม่าเคลื่อนทัพเข้ามาทางด่านสิงขรเพื่อจะไปโจมตีกรุงศรีอยุธยาพระคลองวาฬผู้เป็นเจ้าเมืองคลองวาฬ ก็จะเกณฑ์คนในเมืองคลองวาฬให้ไปช่วยรบสกัดกั้นมิให้กองทัพพม่าผ่านไปโจมตีกรุงศรีอยุธยา อนึ่ง ตั้งแต่สมัยของสมเด็จ พระนารายณ์มหาราชเป็นต้นมายามเมื่อปลอดศึกสงครามจะมีพ่อค้าชาวต่างประเทศผ่านพม่าเข้ามาทางด่านสิงขร แล้วมาลงเรือที่เมืองคลองวาฬบ้างที่เมืองอู่ตะเภาบ้างอยู่เป็นประจา เพื่อเดินทางไปติดต่อค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา  ต่อมาประมาณ พ.ศ.๒๓๓๖ ซึ่งเป็นช่วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดเกล้าฯให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยกทัพไปตีเมืองเมาะตะมะและเมืองร่างกุ้ง การเคลื่อนกองกาลงทัพเข้าตีเมืองพม่าในครั้งนี้ได้ใช้เส้นทางช่องเขาด่านสิงขร เมื่อศึกสงครามสาเร็จลงพระองค์ก็ทรงแบ่งเขตการปกครองดินแดนปักษ์ใต้เป็น ๒๐ หัวเมือง ซึ่งเมืองคลองวาฬก็ยังคงเป็นหัวเมืองหนึ่งใน ๒๐ หัวเมืองเหล่านั้นด้วย

       ครั้นปี พ.ศ.๒๓๙๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ทรงจัดตั้งเขตปกครองใหม่อีกครั้ง โดยการรวม ๓ หัวเมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกันคือ เมืองกุยบุรี เมืองบางนางรม และเมืองคลองวาฬ เข้าเป็นหัวเมืองใหญ่ มีชื่อเรียกใหม่ว่า “ประจวบคีรีขันธ์"ส่วนชื่อเรียกหัวเมืองเดิมว่า คลองวาฬ ก็ลดฐานะลงเป็นชื่อเรียก “ตำบลคลองวาฬ"เป็นตำบลหนึ่งของเมืองประจวบคีรีขันธ์เท่านั้น (แต่ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ บันทึกไว้ว่าเมืองขึ้นกลาโหม เมืองคลองวาฬแก้เป็นเมืองประจวบคีรีขันธ์ เมืองท่าทองแก้เป็นเมืองกาญจนดิตถ์รวม ๒ เมือง)ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เมื่อปีพ.ศ.๒๔๑๑พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๔ ทรงเสด็จประพาสมายังเมืองประจวบคีรีขันธ์ และได้เสด็จมาที่ตำบลคลองวาฬ เพื่อทรงกล้องทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่หมู่บ้านหว้าก้อ เพราะพระองค์เมื่อคำนวณตามวันเวลาแล้วทรงเชื่อมั่นว่าพื้นที่แถบชายทะเลหมู่บ้านหว้ากอ ตาบลคลองวาฬนี้้เป็นจุดทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงคำนวณไว้ทุกประการ  ดังนั้นคลองวาฬจึงเป็นดินแดนที่มีความสำคัญมาช้านานทั้งในฐานะเมืองเก่าและแหล่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์



ข้อมูลทั่วไปในปัจจุบัน
       ตำบลคลองวาฬ เป็นตำบลในเขตการปกครองของอำเภอเมือง ประกอบไปด้วย 9 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านคลองวาฬ หมู่ 2 บ้านหนองหิน หมู่ 3 บ้านทางหวาย หมู่ 4 บ้านหว้าโทน หมู่ 5 บ้านห้วยใหญ่ หมู่ 6 บ้านด่านสิงขร หมู่ 7 บ้านสวนขวัญ หมู่ 8 บ้านนาทอง หมู่ 9 บ้านหนองน้ำขาว
อาณาเขตตำบล :
       ทิศเหนือ ติดกับ ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์
       ทิศใต้ ติดกับ ต.ห้วยทราย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์
       ทิศตะวันออก ติดกับ อ่าวไทย
       ทิศตะวันตก ติดกับ สาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า
       จำนวนประชากร 2,029 หลังคาเรือน

การเดินทางสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ทางรถยนต์ 
       จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางสายธนบุรี-ปากท่อ (ทางหลวงหมายเลข 35) ผ่านสมุทรสงครามแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่านเพชรบุรีเข้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หรือจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านพุทธมณฑล นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ถึงประจวบคีรีขันธ์ รวมระยะทาง 281 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
รถโดยสารประจำทาง
       จากสถานีขนส่งสายใต้ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี (ถนนบรมราชชนนี) มีบริการรถโดยสารสายกรุงเทพฯ-ประจวบคีรีขันธ์ กรุงเทพฯ-หัวหิน กรุงเทพฯ-ปราณบุรี และกรุงเทพฯ-บางสะพาน เป็นประจำทุกวัน
ทางรถไฟ 
       จากสถานีรถไฟหัวลำโพง มีบริการรถไฟไปหัวหิน ปราณบุรี และประจวบคีรี- ขันธ์ ทุกวัน

และนี่แหละครับคือประวัติสถานที่พบ ปลานวลจันทร์ทะเลเป็นครั้งแรก

Read More...

ปลาคลองวาฬคือ

       บ้านคลองวาฬ  อำเภอเมือง  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อุดมสมบรูณ์ไปด้วย ปลาทะเลมากมายหลายชนิด แต่ปลาที่ blog นี้นำมาเป็นชือ blog <ปลาคลองวาฬ> คือ  ปลานวลจันทร์ทะเล หรือ ปลา
ดอกไม้ ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Chanos chanos Forskal  เป็นปลาทะเลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย เนื่องจากเป็นปลาที่มีรสชาติดี เลี้ยงง่าย โตเร็ว มีความต้านทานโรคค่อนข้างสูง  และสามารถอาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำทะเล น้ำกร่อย หรือแม้กระทั่งในน้ำจืด  มีรูปร่างยาวเพรียว ลำตัวค่อนข้างกลมแบนข้างเล็กน้อย ตามีเยื่อไขมันคลุมตลอด เกล็ดมีขนาดเล็กถี่เรียบไปตามลำตัว ครีบหางเว้าลึกแบบส้อม  ตัวโตเต็มที่มีขนาดลำตัวยาวกว่า1 เมตร หนักกว่า 15 กิโลกรัม เป็นปลาที่ว่ายน้ำเร็ว อาศัยบริเวณผิวน้ำ มีนิสัยชอบย้ายถิ่นอาศัยเพื่อการหาอาหารและผสมพันธุ์



       ปลานวลจันทร์ทะเลพบแพร่กระจายทั่วไปในมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย ในเขตที่มีอุณหภูมิของน้ำสูงกว่า 20 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในบริเวณที่มีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน ปลาที่โตเต็มวัยมักพบอาศัยอยู่บริเวณนอกเขตชายฝั่งใกล้หมู่เกาะและไหล่ทวีป สำหรับในประเทศไทยพบปลานวลจันทร์ทะเลมากในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร เพชรบุรีและแถบจังหวัดตราด 

ซึ่งปลานวลจันทร์ ในประเทศไทย มีการสำรวจพบ ปลานวลจันทร์ทะเล ครั้งแรกบริเวณบ้านคลองวาฬ  อำเภอเมือง  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  


และนี่คือที่มาของชื่อ blog ปลาคลองวาฬ ครับ
Read More...